กัณฑ์ที่ ๔๒     ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔

มาฆบูชา

 

วันนี้เป็นวันมาฆบูชา  ความหมายของคำมาฆบูชาคือการบูชาเนื่องในวันมาฆะ มาฆะเป็นชื่อเดือนในสมัยพุทธกาล  อย่างในสมัยปัจจุบันนี้เราเรียกชื่อเดือนต่างๆว่า มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน  แต่ในสมัยพุทธกาลเรียกอีกอย่างหนึ่ง  เช่นเดือน ๓  เรียกว่า มาฆะ  เดือน ๖ วิสาขะ เดือน ๘  อาสาฬหะ  นี่เป็นชื่อของเดือนในสมัยพุทธกาล เรียกกันมาอย่างนี้ ในสมัยพุทธกาลได้มีเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆปุณณมีีี มีพระอรหันต์ ๑๒๕๐ รูป เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วทั้งหมด เป็นผู้ที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้ที่ได้บรรลุถึงพระนิพพานแล้ว ได้มาประชุมกันเพื่อจะเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน  เป็นพระที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บวชให้ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา    จงมาเป็นภิกษุเถิด

ในบ่ายวันนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพระโอวาทเรียกว่า โอวาทปาติโมกข์  แก่พระอรหันต์ทั้ง ๑๒๕๐ รูป เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ได้มาตรัสรู้ในโลกนี้จะสอนเหมือนๆกันคือ  . สัพพปาปัสส  อกรณัง  การไม่กระทำบาปทั้งปวง   . กุสลัสสูปสัมปทา  การทำความดีให้ถึงพร้อม   . สจิตตปริโยทปนัง  การชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เอตังพุทธานสาสนังนี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงสอนอย่างนี้ เพราะนี่คือเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญอย่างแท้จริง

ความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ความเจริญของวัตถุ ไม่ได้อยู่ที่ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง รถรา ข้าวของทั้งหลายว่ามีมากน้อยแค่ไหน  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเครื่องวัดความเจริญ  ความสุขความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจต่างหากที่เป็นเครื่องวัดความเจริญและความเสื่อม  ถ้าจิตใจมีความสงบ มีความเย็น มีความสุข มีความสบาย นี่แหละคือความเจริญ  แต่ถ้าจิตใจไม่สงบ ไม่มีความเย็น  ไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย  จิตใจจะมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุของการเบียดเบียนกัน อย่างที่ได้ยินได้ฟังตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์วิทยุโทรทัศน์  มีการฆ่ากัน มีการข่มขืนกัน มีการทำร้ายกัน มีการโกงกัน  นี่ไม่ใช่ความเจริญ  ถึงแม้จะมีวัตถุข้าวของมากมาย มีตึกรามบ้านช่องที่สูงๆ มีรถรามากมายก็ตาม  แต่สังคมไม่มีความสงบสุขเพราะจิตใจของคนที่อยู่ในสังคมนั้นมีความเสื่อม ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง  เมื่อมีความโลก ความโกรธ ความหลงมากๆ ก็จะนำไปสู่การกระทำผิดศีลธรรม เบียดเบียนต่อกันและกัน สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่สังคม

จึงอย่าหลงประเด็นโดยคิดว่าความเจริญอยู่ที่วัตถุข้าวของเงินทอง  เพราะวัตถุข้าวของเงินทองเมื่อมีเกินความจำเป็นแล้วไม่ได้ช่วยดับความทุกข์ในจิตใจเลย เพราะเหตุของความทุกข์เกิดจากความโลภโกรธหลง ถ้าอยากจะมีความสุขใจ ไม่มีความทุกข์ใจ ก็ต้องยึดแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ คือละการทำบาปทั้งปวง ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด   ชำระกิเลสในจิตใจให้หมดไป  ถ้าทำได้ความสุขความเจริญรุ่งเรืองจะเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน   ดังที่พระพุทธองค์ และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้ปฏิบัติกัน ท่านมีแต่ความสุขความเจริญในจิตใจ ท่านจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมีข้าวของเงินทองอะไร เพราะข้าวของเงินทองไม่ได้สร้างความสุขให้แก่จิตใจเลย ความสุขที่แท้จริงเกิดจากความสงบของจิตใจ

ในวันมาฆบูชานี้จึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้น้อมจิตน้อมใจมาที่วัดเพื่อทำพิธีบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา  การบูชานี้พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้อยู่สองวิธีด้วยกัน  คืออามิสบูชาและปฏิบัติบูชา อามิสบูชาคือการบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียน ดังที่ท่านได้มากระทำกันในศาลาแห่งนี้ ด้วยการกราบพระ จุดธูปเทียน ถวายดอกไม้  เรียกว่าอามิสบูชา เป็นการบูชาอย่างหนึ่ง  การบูชาที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นการบูชาที่เลิศที่ประเสริฐ เป็นการบูชาที่จะนำความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตจิตใจ คือการบูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรม เรียกว่าปฏิบัติบูชา

ปฏิบัติอย่างไรจึงเรียกว่าปฏิบัติบูชา  ก็คือการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง  มีสามหัวข้อใหญ่ๆ คือ  . ละบาปทั้งปวง ๒. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม   . ทำจิตใจให้สะอาด ถ้าทำตามคำสอนนี้  ถือว่าได้บูชาพระพุทธเจ้าแล้ว  ถือว่าได้นำความสิริมงคลให้แก่ชีวิต ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และได้นำมาสอนนี่แหละคือเคล็ดลับของความสุขของชีวิต  อย่ามัวไปติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะสิ่งเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงสอนว่าม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความทุกข์ เพราะลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนี้จะต้องมีการเสื่อม มีการหมดไป มีการสูญสลายไป  โดยธรรมชาติแล้วเป็นของไม่เที่ยง  เป็นของที่ไม่ใช่ของของเราอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งจะต้องหมดไป  แต่สิ่งที่เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา ที่อยู่กับเราไปตลอด ก็คือความสงบสุขที่เกิดจากคุณงามความดีที่เราได้สร้างไว้ภายในจิตใจ ความสงบสุขที่เกิดจากการชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่แหละ    จะเป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปตลอด อนันตกาล

ถ้าชำระกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในจิตใจให้หมดสิ้นไปแล้ว  ก็จะบรรลุถึงพระนิพพาน  คุณลักษณะของพระนิพพานนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้สองนัย คือ นิพพานัง ปรมัง สุขัง  และ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง  สุดยอดของความสุขคือพระนิพพาน  สุดยอดของความว่างก็คือพระนิพพาน คำว่าว่างนี้หมายถึงว่างจากความทุกข์ ว่างจากความเศร้าโศกเสียใจ  ว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  ว่างจากกิเลสตัณหาทั้งหลายนั่นเอง ถ้าปรารถนาความสุขความเจริญ ความเป็นสิริมงคล  ก็ขอให้น้อมเอาพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ใน วันมาฆะปุณณมีเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วมาปฏิบัติ คือให้ละบาปทั้งหลายเสีย ให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  เมื่อได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว  ถือว่าได้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ได้ให้ความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้