กัณฑ์ที่ ๔๖ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ธรรมคุณ
ถึงแม้พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไป
๒๕๐๐ กว่าปีแล้วก็ตาม
แต่พระธรรมคำสั่งสอนซึ่งพระพุทธองค์ทรงมอบไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์ก็ยังมีอยู่
จึงเหมือนกับว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยอาการ
๓๒
มีเนื้อหนังมังสาอยู่ก็ตาม
แต่พระวรกายของพระองค์ไม่ได้เป็นองค์พระที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือพระธรรม
ดังที่พระพุทธองค์เคยแสดงไว้เสมอว่า
ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ตอนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ได้มีผู้ถามพระพุทธองค์ว่า
จะทรงมอบให้ใครเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
พระพุทธองค์ทรงตอบไปว่า พระธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้ว
จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
จึงควรมีความมั่นใจว่าพวกเราไม่ได้อยู่ไกลจากพระพุทธเจ้าเลย
พระธรรมอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น
ผู้จะบรรลุธรรมได้ต้องเป็นสุปฏิปันโน
เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
คือพระอริยสงฆ์
ซึ่งมาจากผู้ที่มีศรัทธา
เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
มีวิริยะ
ความอุตสาหะหมั่นเพียร มีสติ
มีสมาธิ มีปัญญา
ที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
ด้วยขันติความอดทน
จนกระทั่งบรรลุมรรคผลขึ้นมากลายเป็นพระอริยบุคคล
ถึงพระรัตนะทั้ง ๓
คือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์
เมื่อเห็นธรรมแล้วย่อมเห็นพระพุทธเจ้า
ผู้ที่จะบรรลุเห็นธรรมได้ต้องเป็นสุปฏิปันโน
คือพระอริยสงฆ์นั่นเอง
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเป็นกุญแจสู่พระรัตนตรัย
สรณะอันสูงสุด
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า
ตราบใดยังมีการประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอยู่
ตราบนั้นพระอรหันต์จะไม่สิ้นไปจากโลกนี้
ชาวพุทธจึงควรน้อมพระธรรมคำสอนเข้ามาปฏิบัติเพราะเป็นพระธรรมคำสอนที่มีอานุภาพมาก
ดังในบทพระธรรมคุณที่แสดงไว้ว่า
๑.
สวากขาโต ภควตา ธัมโม ๒. สันทิฏฐิโก ๓.อกาลิโก ๔. เอหิปัสสิโก ๕. โอปนยิโก ๖. ปัจจัตตัง
เวทิตัพโพ วิญญูหิ
นี่คือธรรมคุณอันประเสริฐ
๖
ประการที่พึงศึกษาทำความเข้าใจไว้
เพราะเมื่อได้ศึกษาทำความเข้าใจแล้ว
เราจะได้ยึดเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นเครื่องนำทาง
พาชีวิตเราไปสู่ที่ดีงาม
มีความสุข
มีความเจริญอย่างแท้จริง
๑.
สวากขาโต ภควตา ธัมโม
พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง
เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสมมุติขึ้นมา
แต่งขึ้นมาแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่
เช่น นรกสวรรค์ บาป
บุญ กรรม
วิบาก การเวียนว่ายตายเกิด
ตายไปแล้วต้องไปเกิดใหม่
เช่นพวกเราที่ได้ตายมาแล้วในอดีตชาติ
จึงได้มาเกิดใหม่
เป็นมนุษย์บ้าง
เป็นเดรัจฉานบ้าง
เป็นเทวดาบ้าง
สุดแท้แต่บุญแต่กรรมจะพาไป
นี่คือความเป็นจริงที่มีอยู่ในโลกธาตุทั้ง
๓ นี้
พวกเราปุถุชนคนธรรมดาเป็นเหมือนคนตาบอด
ส่วนพระพุทธองค์ผู้ตรัสรู้ธรรม
เป็นเหมือนคนตาดี
สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้
เห็นในสิ่งที่คนตาบอดไม่สามารถเห็นได้
คนตาบอดที่ฉลาดก็ต้องเชื่อคนตาดีเพราะคนตาดีสามารถนำพาคนตาบอดไปสู่ที่ดีที่ปลอดภัยได้
ดีกว่าการคลำทางไปตามลำพัง
ลองคิดดูซิว่าเวลาคนตาบอดคลำทางจะลำบากขนาดไหน
ไม่รู้เหนือรู้ใต้
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ต่างกับเวลาที่มีใครนำไปแม้จะเป็นสุนัขก็ยังดี
ถ้าหาคนตาดีนำทางไม่ได้
มีสุนัขนำทางให้ก็ยังดี
เพราะสุนัขมีตามองเห็นอะไรๆได้ พระพุทธองค์ทรงรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ
เรื่องนรกสวรรค์
เรื่องการทำดีได้ดี
เรื่องการทำชั่วได้ชั่ว
แล้วก็นำมาสั่งสอนพวกเรา
ถ้าปรารถนาความสุขความเจริญ
ไม่ปรารถนาความทุกข์ความหายนะทั้งหลายก็ต้องเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะพระธรรมคำสอนเป็น สวากขาโต
ภควตา ธัมโม เป็นของจริง
๒.
สันทิฏฐิโก
หมายถึงผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเท่านั้นที่จะรู้จะเห็นอย่างประจักษ์แจ้งกับตนเอง
คือเมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว
ถ้าไม่ได้นำไปปฏิบัติก็จะไม่เห็นผล
จะไม่เห็นในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงรู้ทรงเห็น
เหมือนกับการได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับสถานที่ที่ใดที่หนึ่งที่เรายังไม่เคยไป
พอมีคนมาเล่าให้ฟังว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เราก็ได้แต่จินตนาการไป
จะเหมือนของจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้
จนกว่าไปเห็นกับตาตัวเองเท่านั้น
จึงจะรู้ว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร
ดังสุภาษิตที่ว่า สิบปากพูด
ไม่เท่ากับหนึ่งตาเห็น
ต่อให้ได้ยินได้ฟังมากสักเท่าไร
ก็ไม่เหมือนกับการไปเห็นด้วยตนเอง
เรื่องต่างๆที่พระพุทธองค์ได้ทรงรู้ทรงเห็น
เช่น นรกสวรรค์ก็ดี
การเวียนว่ายตายเกิดก็ดี
สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้
คือ ให้ละการกระทำบาปทั้งหลาย
ให้ทำความดีให้ถึงพร้อม
ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด
ละความโลภ ความโกรธ
ความหลง
เราจะไม่สามารถรู้เห็นได้เลย
แต่ถ้าได้ปฏิบัติตามแล้ว
สิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงรู้ทรงเห็น
เช่น นรกสวรรค์
การเวียนว่ายตายเกิด
มรรคผลนิพพาน
ก็จะเป็นสิ่งที่เราจะได้รู้ได้เห็นเหมือนกัน
เพราะธรรมเป็น
สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้จะเห็นได้
๓.
อกาลิโก
ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา
คือไม่เสื่อมไปกับกาลกับเวลา
ไม่เหมือนกับสิ่งของต่างๆในโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต
เช่นร่างกายของเรา
หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เช่นวัตถุสิ่งของต่างๆ
เป็นอนิจจัง
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
มีการแปรปรวน เปลี่ยนแปลง
เสื่อมสลายไปตามกาลตามเวลา
แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่เสื่อมไปกับกาลกับเวลา
สมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร
สมัยนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ สมัยพุทธกาลสามารถทำให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
เป็นพระอรหันต์
บรรลุถึงพระนิพพานได้ฉันใด
สมัยนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
ยังเป็นของใหม่ถอดด้าม
ยังใหม่อยู่เสมอ
เป็นของไม่เก่า ที่ว่าธรรมเป็นของเก่าของโบราณเพราะเห็นว่าธรรมอยู่มากับโลกเป็นเวลายาวนาน
เลยกลายเป็นของเก่าล้าสมัยไป
เสื่อมประสิทธิภาพไป ถึงกับคิดไปว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว
ธรรมของพระพุทธองค์ย่อมไม่สามารถที่จะยังผลได้เหมือนกับสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนมชีพอยู่
ปฏิบัติไปก็จะไม่ได้ผลอะไร
นี่เป็นเพราะไม่เข้าใจถึงความเป็น
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นี้จะค่อยๆเสื่อมหมดไปเพราะขาดการสืบทอด
เสื่อมไปจากความสนใจของมนุษย์
คนเราจะห่างจากธรรมไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งในที่สุดจะไม่มีใครรู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
หลังจากนั้นก็จะมีแต่ความมืดบอด
ไม่รู้จักเรื่องศีลเรื่องธรรม
เรื่องบาปเรื่องบุญ
เรื่องคุณเรื่องโทษ
เรื่องนรกเรื่องสวรรค์
จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาค้นพบธรรมนี้ มาตรัสรู้ธรรมนี้
แล้วเอามาสั่งสอน
เอามาเผยแผ่ให้กับสัตว์โลก ธรรมไม่ได้สูญหายไปไหน
ยังมีอยู่
เหมือนกับวัดที่ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างไป
ปล่อยให้ต้นไม้ต่างๆมาปกคลุมไว้
จนทำให้มองไม่เห็น
แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งก็มีคนไปพบไปเจอเข้า
วัดนั้นก็ไม่ได้สูญหายไปไหนฉันใด
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น
ไม่ได้สูญหายไปไหน
ยังมีอยู่ เป็น อกาลิโก
อยู่คู่กับโลกตลอดไป
ธรรมไม่ใช่วัตถุ
แต่เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถถูกทำลายไปได้
นี่เป็นหลักของความจริง
เพียงแต่ว่าจะมีใครรู้ธรรมหรือไม่เท่านั้นเอง
ผู้ที่รู้แจ้งด้วยตนเองเรียกว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วนำเอามาประพฤติปฏิบัติจนบรรลุธรรม
เรียกว่าพระอรหันต์สาวก
จึงขอให้มีความมั่นใจว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เสื่อมไปกับกาลกับเวลา
สามารถทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติบรรลุธรรมได้อย่างแน่นอน
๔.
เอหิปัสสิโก
หมายถึงพระธรรมเป็นสิ่งที่วิเศษอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ใครพบเห็นแล้วย่อมเกิดความชื่นชมยินดี
ถ้าเป็นบุคคลก็เหมือนกับดาราภาพยนต์
หรือนางงามจักรวาล เวลาบุคคลเหล่านี้ไปที่ไหนจะมีคนอยากจะเข้าใกล้
อยากจะดูอยากจะมองฉันใด
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก็ฉันนั้น
เพราะพระธรรมคำสอนคือ
รสของธรรม
ชนะรสทั้งปวง
ผู้ใดได้สัมผัสรสของธรรมแล้วจะติดอกติดใจชื่นชมยินดี
เพราะว่าธรรมนำความสุขที่แท้จริงให้กับจิตใจ
เป็นความสุขที่เกิดจากความสงบนั่นเอง
ผู้ที่ไม่เคยพบกับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจจะไม่เข้าใจ
แต่ถ้าได้พบกับความสงบของจิตใจที่เกิดจากการปฏิบัติแล้ว
จะรู้ทันทีว่านี่แหละคือสิ่งที่เลิศที่สุดในโลกนี้
เป็นสิ่งที่อยากจะมีอยู่ตลอดเวลา
เป็นเหมือนยาเสพติด แต่เป็นยาเสพติดที่ไม่มีโทษ
มีแต่คุณอย่างเดียว
นี่คือความหมายของเอหิปัสสิโก
รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
ท้าทายต่อการพิสูจน์เพราะเป็นของจริงที่ดีเลิศ
๕.
โอปนยิโก
ควรน้อมเข้ามาสู่ตัว
เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง
มีคุณค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดาเงินทองทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้
เป็นอริยทรัพย์ที่จะนำความสุขความเจริญที่แท้จริง
เป็นแสงสว่างแห่งปัญญาที่นำไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดและความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
พึงน้อมเข้ามาด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน
แล้วก็นำมาปฏิบัติเพื่อจะนำไปสู่ปฏิเวธคือการบรรลุธรรม
เรียกว่า ปริยัติ
ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ปริยัติหมายถึงการศึกษาพระธรรมคำสอน
ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม
เพื่อจะได้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร
เมื่อรู้แล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ
เช่นวันนี้หลังจากที่ได้รับศีลแล้ว
กลับไปบ้านก็รักษาศีลกัน
ด้วยการละเว้นจากการฆ่าสัตว์
ละเว้นจากการลักทรัพย์
ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี
ละเว้นจากการจากการพูดปดมดเท็จ
ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา
ละเว้นจากการเล่นการพนัน
ละเว้นจากการเที่ยวเตร่
ละเว้นจากความเกียจคร้าน
นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนให้ละ เพราะเมื่อทำไปแล้วจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย
ความหายนะ ละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ได้แล้วก็จะไม่ทุกข์
ไม่เดือดร้อน
มีแต่ความสงบสุข
เมื่อปฏิบัติแล้วจะเห็นผลขึ้นมาทันที
จึงควรน้อมเอาพระธรรมคำสอนเข้ามาสู่ตนด้วยการศึกษาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุผล
ถ้าไม่ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด
ฟังที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้
เพราะเดี๋ยวนี้มีการเทศน์ผ่านทางวิทยุ
ทางโทรทัศน์
ผ่านทางสื่อต่างๆมากมาย
สามารถเปิดฟัง เปิดดูได้
หนังสือธรรมะที่แจกเป็นธรรมทานก็มีอยู่มากมายก่ายกองเช่นกัน
ขอให้มีความยินดีในธรรมเถิด
เพราะ การยินดีในธรรม
ชนะการยินดีทั้งปวง
อย่าให้เป็นในลักษณะที่เวลาหมุนคลื่นไปเจอพระกำลังเทศน์
กำลังแสดงธรรมในจอโทรทัศน์หรือในวิทยุอยู่
ก็ไปเปลี่ยนเป็นช่องอื่น
ไปสถานีอื่นเสีย
นั่นเป็นเพราะไม่น้อมธรรมเข้ามา
กลับผลักธรรมออกไป ตัดธรรมทิ้งไปเหมือนกับตัดสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทองทิ้งไป
เป็นสิ่งที่คนโง่เท่านั้นที่จะกระทำกัน
ถ้าเป็นคนฉลาดแล้วย่อมรู้จักแยกแยะ
ถ้าสิ่งที่ดีที่งาม
ที่เป็นประโยชน์ก็จะน้อมเข้ามาเพื่อความสุขความเจริญของตนต่อไป
๖.
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ
วิญญูหิ
เป็นธรรมที่วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
ปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างพวกเรานี้ยังถือได้ว่าเป็นวิญญูชนคนฉลาด
ถ้าไม่ฉลาดย่อมไม่เห็นคุณค่าของการทำบุญให้ทาน
การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม
เดินจงกรม นั่งสมาธิ
เจริญวิปัสสนา
การฟังเทศน์ฟังธรรม
จึงเป็นบุคคลที่คู่ควรกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สามารถรู้เห็นธรรมของพระพุทธองค์ได้
พระพุทธองค์ทรงแยกบุคคลไว้ ๔
จำพวกด้วยกัน
เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่า คือ
๑.
อุคฆฏิตัญญู
๒. วิปจิตัญญู
๓. เนยยะ
๔. ปทปรมะ
๑.
อุคฆฏิตัญญู เป็นบุคคลที่ฉลาดมาก
รู้เข้าใจอะไรได้โดยฉับพลัน
เพียงได้ยินหัวข้อที่แสดงเท่านั้น
พอได้ยินคำว่าบาปบุญ คุณโทษ
นรกสวรรค์เท่านั้น
ก็จะรู้จะเข้าใจได้อย่างฉับพลัน
บุคคลประเภทนี้เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เพียงแต่รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานขึ้นในวันนี้
๒.
วิปจิตัญญู เป็นบุคคลที่ต้องขยายความถึงจะรู้
ถึงจะเข้าใจ คือเมื่อได้ฟังหัวข้อธรรมแล้วยังไม่เข้าใจ
ต้องอธิบาย ต้องขยายความ
เช่นบุญคืออะไร บาปคืออะไร
นรกคืออะไร สวรรค์คืออะไร
เมื่อได้ฟังคำอธิบายแล้วถึงจะรู้
ถึงจะเข้าใจ บุคคลประเภทนี้เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำที่จะบานในวันพรุ่งนี้
๓.
เนยยะ
เป็นบุคคลที่พอจะสั่งสอนได้
คือต้องสั่งสอนอยู่เรื่อยๆ
ต้องพูดอยู่เรื่อยๆ
ต้องบอกอยู่เรื่อยๆ
พูดครั้งเดียวยังไม่เข้าใจ
ต้องพูด ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ๔
ครั้ง ๕ ครั้ง ถึงจะรู้
ถึงจะเข้าใจ ต้องพูดไปเรื่อยๆ
สอนไปเรื่อยๆ
อธิบายไปเรื่อยๆ ถึงจะรู้
ถึงจะเข้าใจ
บุคคลประเภทนี้เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ
ยังไม่โผล่พ้นน้ำ
จะบานในวันต่อๆไป
๔.
ปทปรมะ
เป็นบุคคลที่ได้แต่ตัวบทคือถ้อยคำเท่านั้น
ไม่สามารถเข้าใจความหมายได้
เหมือนนกแก้วที่ร้อง
แก้วจ๋าๆๆ
แต่ไม่รู้จักตัวแก้วว่าเป็นอย่างไร
พอยื่นแก้วให้กลับไม่รับ
จะรับแต่กล้วยแต่พริกเท่านั้น เป็นพวกหูหนวกตาบอด
พูดไปก็ไม่ได้ยิน
พูดไปก็ไม่เข้าใจ
พูดเรื่องนรกเรื่องสวรรค์
เรื่องบาปบุญคุณโทษ ก็คิดว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง
พวกนี้มีแต่ความมืดบอด
ไม่มีโอกาสจะเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้เลย
เปรียบเหมือนบัวที่จมอยู่ในน้ำ
ที่กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า
ไม่มีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
บุคคลทั้ง
๔ ประเภทนี้ มี ๓
ประเภทแรกที่จัดอยู่ในวิญญูชน
พอจะรับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนได้
ต่างกันที่รู้ช้ารู้เร็วเท่านั้น
ถ้ามีความพยายาม
มีความขยันหมั่นเพียร
มีความอดทนที่จะศึกษาเล่าเรียน
ประพฤติปฏิบัติ
ไม่ช้าก็เร็วก็จะบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าได้
แต่จะรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น
ไม่สามารถรู้แทนผู้อื่นได้
ทำได้แต่เพียงสั่งสอนแนะนำอธิบายให้รู้ให้เข้าใจ
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ
ถ้าผู้ฟังนำไปประพฤติปฏิบัติก็จะรู้ได้
เพราะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันได้
จากใจหนึ่งสู่อีกใจหนึ่ง
จากพระพุทธเจ้าสู่พระอรหันตสาวก
จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์
นี่คือพระธรรมคุณ
๖ ประการ คือ ๑.
สวากขาโต ภควตา ธัมโม
๒. สันทิฏฐิโก
๓. อกาลิโก
๔. เอหิปัสสิโก
๕. โอปนยิโก
๖. ปัจจัตตัง
เวทิตัพโพ วิญญูหิ
ที่พุทธศาสนิกชนควรเจริญอยู่เนืองๆเพื่อปลูกฝัง
ศรัทธาความเชื่อ
ปสาทะความเลื่อมใส
วิริยะความขยันหมั่นเพียร
ฉันทะ ความยินดี
ในการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
ให้หยั่งลึกลงไปในจิตใจ
เพื่อความสุขความเจริญรุ่งเรืองที่จะตามมาต่อไป
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้