กัณฑ์ที่ ๖๗     ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔

วิสาขบูชา

 

วันนี้เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งทางพระพุทธศาสนา  เพราะเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  พระพุทธองค์เป็นบุรุษที่ประเสริฐ เป็นหนึ่งไม่มีสองในจักรวาลนี้  นานๆจะมีบุคคลอย่างท่านปรากฏตนขึ้นมาในโลกนี้  แล้วนำธรรมอันวิเศษมาเผยแผ่สั่งสอนให้กับสัตว์โลกทั้งหลายผู้ยังอยู่ในความมืดบอดของความหลง ของกิเลสตัณหาทั้งหลาย ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น  ต้องแบกความทุกข์อันใหญ่หลวงมาตลอดเวลา แต่เมื่อมีบุคคลอย่างพระพุทธเจ้ามาประสูติ ตรัสรู้ และแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์โลก จึงเป็นเหมือนกับมีแสงสว่างปรากฏขึ้นในที่มืด มีหมอวิเศษมารักษาโรคที่ไม่มีใครสามารถรักษาให้หายได้  นี่คือพระคุณอันวิเศษของพระพุทธเจ้า ที่สามารถทำให้สัตว์โลกผู้มืดบอด เข้าถึงสัจจธรรมความจริงของโลกนี้ว่า เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องมีการดับทุกข์ 

พระพุทธองค์ทรงได้สะสมบุญมาอย่างมากมายหลายภพหลายชาติ หลายกัปหลายกัลป์  ได้ใช้พระบารมีศึกษาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งพบความเป็นจริงถึงบ่อเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด   เหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจของสัตว์โลก ว่าเกิดมาจากความอยากต่างๆ เกิดมาจากกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง และทรงได้เห็นว่าเหตุของความอยากทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น ก็เกิดมาจาก อวิชชา ความไม่รู้  คือไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่งามสำหรับจิตใจ  กลับไปหลงติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีที่งาม  เป็นสิ่งที่ไม่ได้ให้ความสุข เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ ก็เลยผูกตัวเองให้อยู่กับความทุกข์โดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงศึกษา ประพฤติปฏิบัติ ก็เห็นว่าคนเราจะสุขได้ต้องตัดกิเลสตัดตัณหา ธรรมชาติของจิตใจไม่ต้องมีอะไรก็มีความสุขได้ มีความสุขมากและยิ่งใหญ่กว่าการมีวัตถุสมบัติต่างๆ เพราะว่าวัตถุสมบัติต่างๆโดยธรรมชาติเป็นของที่มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่  เมื่อไปแตะต้องก็เหมือนกับไปแตะไฟ เพราะไฟมีความร้อนซ่อนเร้นอยู่  เวลาดูก็สวยงามดีหรอก  แต่พอเอามือเข้าไปแตะเข้าก็จะเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาฉันใด  ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ก็เปรียบเหมือนกับไฟ เวลาดูก็สวยงามดี เห็นรูปคนก็สวยงามดี เห็นคนหนุ่ม คนสาวก็สวยงามดี  เห็นสมบัติต่างๆ สิ่งของต่างๆ ก็อยากจะได้ อยากจะมีกัน  แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนไฟ  เวลาไปจับไปต้องแล้วจะต้องถูกสิ่งเหล่านี้เผาไหม้

สิ่งต่างๆในโลกนี้ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข   ที่สัตว์ทั้งหลายมีความอยาก มีความชอบ มีความชื่นชมยินดี เป็นเหมือนไฟ เป็นของร้อน เป็นความทุกข์ เมื่อไปยึดไปติดไปสัมผัสเข้าแล้วก็จะต้องถูกสิ่งเหล่านี้เผาผลาญ สร้างความทุกข์ให้มีมากขึ้นไป  เพราะสิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติเป็นของไม่แน่นอน เป็นของไม่เที่ยง อนิจจัง มาแล้วก็ไป ไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้  เมื่อไปแล้วก็สร้างความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้หลงยึดติด  เวลาอยู่ก็สร้างความกังวลใจ ว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไร จะหมดไปเมื่อไหร่ นี่คือลักษณะของความทุกข์ร้อนของ ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข  เหมือนกับโดนไฟเผาไหม้ 

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เห็นว่ากามคุณ ๕   ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย เป็นเหมือนเปลวไฟ มีความร้อน มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่  พระองค์จึงได้ตัดออกไปจากจิตจากใจ  ตัดความเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้  ไม่ปรารถนาที่จะหาความสุขจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  เพราะไม่เป็นคุณกับจิตใจ  การปราศจากสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ดีสำหรับจิตใจ มีสิ่งเหล่านี้น้อยลงไปเท่าไร  ความสุขก็จะมีมากขึ้นไปเท่านั้น ดังที่จะสังเกตได้จากพระพุทธองค์ก็ดี พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี  ว่าท่านมีวัตถุสมบัติน้อยมาก มีเท่าที่จำเป็น  เครื่องนุ่งห่มก็มีแค่ไตรจีวร ผ้า ๓ ผืน  มีบาตรเพียงใบเดียวไว้บิณฑบาต  ที่อยู่อาศัยก็สุดแท้แต่จะหาได้  ตามโคนไม้ก็ได้ ในถ้ำก็ได้ ตามเรือนร้างก็ได้ หรือในกุฏิที่ศรัทธาญาติโยมสร้างถวายก็ได้ มีเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการครองชีพของบรรพชิต  พอแล้วกับความสุขจากวัตถุสมบัติ ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการตัดความอยาก ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ออกไปจากใจ ทำให้ใจ สงบ เย็น อิ่ม พอ

นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ วันวิสาขบูชา  พระพุทธองค์ทรงได้บรรลุในวันนั้น  บรรลุที่ใจของพระองค์ท่าน  คือสามารถตัดความอยากทั้งหลายที่มีอยู่ในใจออกไปหมด  และวิธีการที่จะตัดความอยากก็ต้องอาศัยมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ได้แก่ การทำบุญให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญจิตตภาวนา เป็นเครื่องมือช่วยตัดความอยากต่างๆ ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ออกไปจากใจ ขอให้เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ เป็นเหมือนกับเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกาย  เวลามีเชื้อโรคอยู่ในร่างกาย  ร่างกายจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย  แต่ถ้าได้รับประทานยาเข้าไป เชื้อโรคก็จะถูกทำลายหมดไป  เมื่อเชื้อโรคหมดไปอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆก็หมดไปฉันใด  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในใจก็เป็นเชื้อโรคที่ทำให้โรคใจกำเริบขึ้นมา เช่นความทุกข์ใจ ความกังวลใจ  ความเศร้าโศกเสียใจ เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งนั้น 

จึงต้องเอาธรรมะซึ่งเป็นยารักษาโรคใจเข้ามารักษา ด้วยการทำบุญให้ทาน  รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา  อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป  เมื่อหมดสิ้นไปแล้ว ใจก็เป็นใจที่ปกติ เป็นใจที่ไม่มีความทุกข์ เป็นใจที่ไม่มีความหิวโหย เป็นใจที่ไม่มีความกระหาย เป็นใจที่มีแต่ความอิ่ม ความพอ ความสุขที่เป็น ปรมัง สุขัง เป็นสุขที่เลิศที่สุดในบรรดาความสุขทั้งหลาย  ไม่มีความสุขใดจะเลิศเท่ากับความสุขที่เกิดจากความสงบใจ ที่เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติธรรม ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง และความอยากทั้งหลาย

นี่คือเรื่องราวของวันวิสาขบูชา  เรื่องของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมาประสูติ ตรัสรู้ และ แสดงธรรม ประกาศพระศาสนาให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย  จึงถือว่าเป็นโชคอย่างยิ่งที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และได้พบกับพระพุทธศาสนา  เพราะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลยที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์แต่ละครั้ง และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลยที่ได้มาเกิด แล้วมาเจอกับพระพุทธศาสนา  เมื่อได้พบสิ่งประเสริฐเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้ฉวยโอกาสอันดีงามนี้ตักตวงผลประโยชน์ของพระพุทธศาสนาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ให้สมกับพระเจตนาของพระพุทธองค์ที่ทรงประกาศพระศาสนาเพื่อให้สัตว์โลกทั้งหลายหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ในวันมหามงคลนี้  ขอให้น้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ที่เป็นสรณะอันประเสริฐ มาใส่ใจ ด้วยการปฏิบัติบูชา ทำตัวให้เป็นคนดี ทำแต่ความดี ละความชั่ว ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ให้ออกไปจากจิตจากใจ แล้วความเป็นสิริมงคลย่อมเป็นของท่านอย่างแน่นอน การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้