กัณฑ์ที่ ๖๘      ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔

พระคุณของพระพุทธเจ้า

 

การปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้า  แต่ละครั้งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะปรากฏขึ้นได้ง่ายๆ แต่เป็นสิ่งที่นานๆจะปรากฏขึ้นสักครั้งหนึ่ง  เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจะมาตรัสรู้ได้ จะต้องบำเพ็ญบุญบารมีมาอย่างยาวนาน  เป็นเวลาหลายกัปหลายกัลป์ด้วยกันถึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่การปรากฏขึ้นของพระศาสนายิ่งเป็นของที่ยากขึ้นไปอีก  ยิ่งกว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ได้มาตรัสรู้ธรรม ไม่ได้ประกาศพระธรรมคำสอนแก่สัตว์โลกทุกๆพระองค์ มีหลายๆ พระองค์ที่เมื่อตรัสรู้แล้วแต่ไม่ได้ประกาศพระธรรมคำสอนเนื่องจากเหตุปัจจัยไม่อำนวย จึงกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไป

พระพุทธเจ้าจึงมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศพระธรรมคำสอน หลังจากตรัสรู้แล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้บอกใครว่าเป็นพระพุทธเจ้า    จึงไม่มีใครรู้ว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้ว ถ้าได้ประกาศพระธรมคำสอน ก็จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธศาสนาปรากฏตามขึ้นมา  มีพุทธบริษัทสืบทอดพระธรรมคำสอนต่อไป เหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงใช้เวลาใคร่ครวญสักระยะหนึ่งว่าควรจะประกาศพระศาสนาหรือไม่ 

ในเบื้องต้นทรงเกิดความท้อแท้เพราะเห็นว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งสำหรับปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั้งหลายจะสามารถเข้าใจได้ และน้อมเอาไปปฏิบัติได้ เพราะเป็นการสอนให้ละสิ่งต่างๆ ที่เป็นที่รักที่ชอบ  เช่นสอนให้ละความโลภ ความอยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข เป็นต้น  ชึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนในโลกปรารถนากัน แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นกับดักของความทุกข์ ผู้ใดมี ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุขแล้ว มักจะมีแต่ความทุกข์อยู่เสมอ เพราะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป  มีการเจริญ และ มีการเสื่อม  ไม่ใช่ของๆเรา ถ้าสิ่งไหนเป็นของเราอย่างแท้จริง ย่อมอยู่กับเราไปตลอด   แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราไปเสมอ  มีการแปรปรวน  มีการเปลี่ยนแปลง และ มีการหมดไป

เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาจึงเกิดความท้อแท้ ทรงดำริว่าถ้าไปสั่งสอนแล้วจะมีใครเชื่อหรือเปล่า  หรือจะถูกหาว่าบ้า  ก็เลยทรงมีความรู้สึกไม่อยากจะสั่งสอน ไม่อยากประกาศพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงเห็นมา ต่อมาท้าวมหาพรหมได้มากราบพระพุทธเจ้าแล้วอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาสัตว์โลก โปรดสั่งสอนสัตว์โลกที่ยังมืดบอดด้วยโมหะ ความหลง ด้วยอวิชชา ความไม่รู้  ขอให้ได้โปรดให้เขาเหล่านั้นได้ มีแสงสว่าง มีธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด  ถึงแม้ว่าสัตว์โลกจะไม่สามารถรับคำสอนของพระพุทธองค์ได้ทั้งหมดก็ตาม  แต่สัตว์โลกที่ฉลาดก็มี ที่ไม่ฉลาดก็มี ผู้ที่จะรับการสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็มี  ที่ไม่รับก็มี

หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ก็ทรงจำแนกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ ประเภท  เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่า คือประเภทที่ . อุคฆฏิตัญญู เป็นคนที่ฉลาดมาก เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นมาก็เข้าใจแล้ว เปรียบเหมือนกับบัวที่อยู่เหนือน้ำ  พอได้รับแสงอาทิตย์ก็จะบาน  ประเภทที่ . วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่จะรู้จะเข้าใจหลังจากได้ฟังการอธิบายขยายความ เปรียบเหมือนกับบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้  ประเภทที่ . เนยยะ คือผู้ที่พอสั่งสอนได้  ต้องใช้เวลานานหน่อย  ต้องสอนไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้  เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ  จักบานในวันต่อไป บุคคลทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวมา ยังพอสั่งสอนได้  ส่วนประเภทที่ . ปทปรมะ เป็นพวกมืดบอด  ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย เปรียบเหมือนกับบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า จะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง คิดว่าเป็นการหลอกลวง เช่นเรื่องนรก เรื่องสวรรค์  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เห็นเป็นของโกหกหลอกลวง เป็นไปไม่ได้ที่ตายแล้วจะเกิดอีก  ตายแล้วสูญ  เป็นลักษณะของคนมืดบอด ที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงสั่งสอน  สอนไปก็เปล่าประโยชน์  เปรียบเหมือนกับการสาดน้ำใส่หลังสุนัข  สุนัขจะสะบัดทิ้งทันทีฉันใด  การสั่งสอนคนมืดบอดก็เสียเวลาเปล่าๆฉันนั้น

หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ทรงเห็นว่ายังมีผู้ที่พอจะเทศนาโปรดได้  จึงทรงมีกำลังใจที่จะประกาศพระศาสนา  โดยใช้พระบารมีที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสมมา คือพระปัญญาคุณ และ พระกรุณาคุณ ที่ทรงมีเปี่ยมในพระทัย เป็นเครื่องมือสนับสนุนการสั่งสอนพระธรรมให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย ผู้ที่ได้เกิดในสมัยที่มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จึงถือว่าเป็นผู้มีโชควาสนามาก จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสอันดีนี้ ที่ได้พระอริยทรัพย์อันประเสริฐนี้มา เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐกว่าทรัพย์ต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้  เป็นทรัพย์ที่ถาวร  เป็นทรัพย์ที่เอาติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ   ไม่มีใครจะมาช่วงชิงแย่งหรือขโมยไปได้   

จึงควรน้อมจิตใจให้เกิดศรัทธาในพระธรรมคำสอน  ให้เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  เชื่อเรื่องกรรม เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ให้เชื่อเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ ให้เชื่อว่าทำบุญทำกุศลแล้วจะไปสวรรค์   ทำแต่บาปแต่กรรมก็จะไปนรก  เป็นเรื่องจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็นมาในวันเพ็ญเดือน ๖  คือวันวิสาขะที่ผ่านมาเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ขอให้เชื่อในสิ่งเหล่านี้  แต่การเชื่อในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้หมายความว่าให้เชื่อเฉยๆ   การเชื่อนี้หมายถึงให้เชื่อเพื่อนำไปพิสูจน์ว่าสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร  เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้  ไม่ได้ให้เชื่อแบบงมงาย แบบหลับหูหลับตา  ศรัทธาในพระพุทธศาสนาหมายถึงให้เอาสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติกับตัวเรา กับกายวาจาใจของเรา  แล้วพิสูจน์ดูว่าสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างไร

นี่คือศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา  เมื่อรับเอามาปฏิบัติแล้ว  สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็จะปรากฏขึ้นมา  เหมือนกับการเชื่อคนที่เอายามาให้รับประทานเพื่อรักษาโรค เขาบอกว่าลองกินดูซิ  กินแล้วโรคจะหาย  ถ้าเชื่อก็ลองรับประทานยานั้นดู  หลังจากนั้นก็จะรู้ว่ายานั้นใช้ได้หรือไม่  แต่ถ้าปฏิเสธไม่กินยา  ก็จะไม่รู้ว่ายานั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร ฉันใดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนยารักษาโรคใจ  รักษาความทุกข์ที่มีอยู่ภายในใจ  ถ้าปฏิเสธไม่เชื่อ โดยคิดว่า  ทำบุญไป รักษาศีลไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  ทำไปก็เท่านั้น  ก็ปฏิเสธ ไม่ทำ  ถ้าปฏิเสธไม่ทำ  ก็จะไม่รู้เรื่องบุญเรื่องบาปว่า  มีผลอย่างไรบ้าง  แต่ถ้าเชื่อแล้วนำเอาไปปฏิบัติ  ลองทำบุญ ลองรักษาศีล ลองไหว้พระสวดมนต์  ลองนั่งสมาธิ  แล้วดูซิว่าใจจะดีขึ้นหรือไม่  ใจจะสงบขึ้นหรือไม่  ใจจะอิ่มขึ้นหรือไม่ ใจจะมีความสุขดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หรือไม่  ต้องพิสูจน์ดู  เมื่อลองปฏิบัติแล้ว จะเห็นผล  เมื่อเห็นผลแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญแล้ว  เพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

นี่คือเรื่องของพระศาสนาที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา  ตัวที่จะเชื่อมเราเข้าสู่ศาสนาก็คือศรัทธานั่นเอง  ในเบื้องต้นจึงควรสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น  ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาก  ศึกษาจากพระไตรปิฏก  จากหนังสือที่พระเกจิอาจารย์ท่านได้เขียนได้แสดงไว้  หรือฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระสงฆ์องค์เจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  พยายามฟังไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดศรัทธาขึ้นมา  เมื่อเกิดศรัทธาแล้วก็จะปฏิบัติอย่างจริงจัง  เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นเป็นจริงหรือไม่  แล้วจะรู้ว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา  และได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้