กัณฑ์ที่ ๗๑      ๑๕ พฤษภาคม  ๒๕๔๔

วันวิสาขอัฏฐมีบูชา

 

วันนี้เป็นวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖  เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา  พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จะไม่ทราบกันว่าวันนี้เป็นวันวิสาขอัฏฐมีบูชา เป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปในวันเพ็ญเดือน ๖ เมื่อ ๘ วันที่แล้วมา  ได้มีการเก็บพระบรมศพของพระพุทธองค์ไว้ให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้กราบไหว้สักการะบูชาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะได้ทำการถวายพระเพลิงแด่พระบรมศพของพระพุทธองค์ซึ่งตรงกับวันนี้  หลังจากเก็บพระบรมศพไว้ ๗ วันแล้ว  วันที่ ๘ ก็เป็นวันถวายพระเพลิง  เสร็จจากการถวายพระเพลิงแล้ว  พระอัฐิคือกระดูกที่เหลือจากการเผาก็ได้มีการแจกจ่ายให้กับพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นต่างๆไป 

อัฐินี้ต่อมาก็ได้กลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ  คือกระดูกของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จะกลายเป็นพระธาตุ  พระธาตุมีลักษณะเหมือนกับก้อนหิน กระดูกของปุถุชนโดยปกติย่อมสลายกลายเป็นดินไป  แต่อัฐิของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จะรวมตัวกันกลายเป็นธาตุ  เวลาที่กระดูกของพระภิกษุที่ได้มรณภาพไปแล้วได้กลายเป็นธาตุก็แสดงว่าพระภิกษุรูปนั้นได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระภิกษุที่กระดูกไม่ได้กลายเป็นธาตุจะไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  กระดูกที่กลายเป็นธาตุได้เร็วเพราะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์มานานแล้วก่อนจะปรินิพพาน คือ ตายไป 

ถ้าได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นเวลาสิบๆปีก่อนปรินิพพาน กระดูกจะกลายเป็นธาตุอย่างรวดเร็ว  ในบางกรณีเพียงไม่กี่เดือนก็จะกลายเป็นธาตุขึ้นมา แต่ถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วอยู่ไม่นานก็ปรินิพพานไป โอกาสที่กระดูกจะกลายเป็นธาตุจะมีน้อย หรือช้า หรือไม่กลายเป็นธาตุเลย  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  เพียงแต่จิตบริสุทธิ์ของท่านมีเวลาซักฟอกกระดูกน้อย  ถ้ามีชีวิตอยู่นานหลังจากที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว  เวลาที่จิตบริสุทธิ์จะซักฟอกกระดูกจะมีมาก  กระดูกจึงกลายเป็นธาตุอย่างรวดเร็ว  นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะรู้ได้ว่าพระรูปไหนเป็นพระอรหันต์ ได้บรรลุถึงพระนิพพานแล้ว 

เป็นธรรมเนียมในพุทธกาลที่จะสร้างสถูปหรือเจดีย์ไว้ เพื่อบรรจุอัฐิหรือพระธาตุ ของบุคคลสำคัญๆไว้เป็นอนุสรณ์ที่เตือนใจ ให้เกิดปสาทะและกุศลธรรมอื่นๆ บุคคลที่ควรแก่สถูป มี ๔ คือ . พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  . พระปัจเจกพุทธเจ้า  . พระอรหันต์  . พระเจ้าจักรพรรดิ ในสมัยนี้คนไม่รู้เรื่องการใช้พระเจดีย์กัน เวลามีใครตายก็สร้างเจดีย์เพื่อเก็บกระดูกกัน โดยไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นควรแก่เจดีย์หรือไม่ เดิมทีมีไว้ให้เป็นอนุสรณ์ที่เตือนใจ ให้เกิดปสาทะและกุศลธรรมอื่นๆ  ให้ระลึกถึงผู้มีคุณประโยชน์ต่อโลก  เช่นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระเจ้าจักรพรรดิ  สมควรที่จะสร้างปูชนียสถานไว้เป็นที่สักการะบูชา และเป็นอนุสรณ์เตือนสติให้พวกเราทั้งหลายผู้ยังอยู่ในโลกของความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้เห็นถึงความประเสริฐของการสิ้นกิเลส ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันต์   ว่าการสิ้นจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสิ่งที่ประเสริฐ น่าเอาเยี่ยงอย่าง  น่าประพฤติตาม เพราะผู้ที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในใจแล้ว  เป็นผู้ที่ไม่มีพิษ ไม่มีภัยกับใคร  มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์โดยถ่ายเดียว 

ลองเลือกดูระหว่างคนโลภโมโทสัน กับคนไม่โลภโมโทสัน  จะอยู่กับใครดี  อยู่กับคนไม่โลภโมโทสัน ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่มีปัญหาเลย  บุคคลนั้นจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับเราเลย  จะไม่เบียดเบียนเรา  จะไม่สร้างความทุกข์ร้อนให้กับเรา  ไม่ว่าทางกายหรือทางใจก็ตาม  ตรงกันข้ามกับคนโลภโมโทสัน  ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง  แม้จะเป็นคนรักกันก็ตาม เป็นสามีเป็นภรรยากันก็ตาม  เป็นพี่น้องกันก็ตาม  เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันก็ตาม ก็ยังต้องสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่กันและกัน  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่แหละเป็นต้นเหตุ ที่จะทำให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆที่ไม่ดีต่อกัน  ถ้าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว  คนเราจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข  อยู่ด้วยความสบายใจ เพราะทุกคนจะเคารพในสิทธิของกันและกัน  จะไม่เบียดเบียนกัน  จะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  จะไม่ลักทรัพย์ของกันและกัน  จะไม่ยุ่งกับสามีภรรยาของกันและกัน  จะไม่พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวงกัน และไม่เสพสุรายาเมาอันเป็นที่ตั้งของความขาดสติ ความประมาท 

นี่คือเรื่องราวของผู้ประเสริฐทั้งหลายที่ได้มาปรากฏขึ้นในโลกนี้ และได้  ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี พร้อมกับสั่งสอนให้ผู้ที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจให้เห็นโทษของกิเลสทั้งหลาย  ให้เห็นโทษของความโลภ ความโกรธ ความหลง ว่าเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย  ต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้  ผู้ที่ได้พบเห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระอรหันตสาวก  เป็นผู้มีโชควาสนา เพราะจะได้เรียนรู้จากท่าน  จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสอันดีงามนี้หลุดมือไป  การได้มาพบกับพระพุทธศาสนาก็เท่ากับได้พบกับผู้ประเสริฐ  เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ผู้ที่เข้ามาสู่พระศาสนา ไม่ว่าสมณะนักบวช หรือ ฆราวาสญาติโยม  ให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน  คือให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ทำแต่ความดี และให้ละความชั่วทั้งหลาย  เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด  เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้วจึงไม่ควรอยู่ห่างวัด  ควรเห็นวัดเป็นเหมือนสถานีเติมน้ำมัน  ถึงแม้จะเข้าวัดไม่ได้ทั้ง ๗ วัน  อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งควรจะเข้าวัดสักครั้งหนึ่งเพื่อเติมน้ำมันบุญ  เหมือนกับรถที่เราขับ เราไม่ได้เอารถเข้าปั๊มน้ำมันทุกวัน แต่เราก็ต้องขับรถเข้าปั๊มน้ำมันเป็นครั้งคราว เพื่อเติมน้ำมันรถ รถจะได้วิ่งไปไหนมาไหนได้ 

จิตใจของเราก็เหมือนกัน  เรามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าวัดเพื่อเติมบุญกุศล  เติมพลังให้กับจิตใจ  เพราะเมื่อมีธรรมอยู่ในจิตใจแล้ว  เราจะมีกำลังที่จะต่อสู้กับความทุกข์ ความยาก ความลำบาก  ต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลายได้  ถ้าไม่มีธรรมในจิตใจแล้ว จิตใจจะถูกความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่ำยี  สร้างความทุกข์สร้างความเดือดร้อนให้กับจิตใจไม่มีที่สิ้นสุด   จึงเป็นบุญวาสนาที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าโดยตรงก็ตามเถิด  ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไป  พระพุทธองค์ได้ทรงรับสั่งไว้ว่าธรรมวินัยที่ตถาคตได้แสดงไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย   พวกเธอจะไม่อยู่ปราศจากศาสดา ปราศจากตถาคต เพราะว่าตถาคตกับธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม 

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าตถาคตเป็นรูปร่างหน้าตามีอาการ ๓๒  นี่ไม่ใช่  ตถาคต ต่อให้เกาะชายผ้าเหลืองของตถาคต  แต่จิตใจยังเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่สนใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงออกจากจิตใจแล้ว  ต่อให้เกาะชายผ้าเหลืองของตถาคตเป็นพันปีหมื่นปี  ก็จะไม่ถึงตัวตถาคต  ถึงแม้จะอยู่ห่างจากตถาคตระยะทางเป็นหมื่นโยชน์ ถ้ามีความอุตสาหะ วิริยะ พยายามประพฤติปฏิบัติตน  ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ออกไปจากจิตใจแล้ว ถือว่าอยู่ใกล้ตถาคต  เพราะว่าตถาคตอยู่ที่ธรรม ไม่ได้อยู่ที่สรีระร่างกาย  สรีระร่างกายของตถาคตมาจากธาตุ ๔  ดิน น้ำ ลม ไฟ  มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป  มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา  ไม่มีใครแตกต่างกันเลย  ที่แตกต่างกันคือธรรมที่มีอยู่ในจิต ถ้ามีธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ครบถ้วนบริบูรณ์  ที่เรียกว่าธรรมทั้งแท่ง  ธรรมทั้งดวง  จิตนั้นก็เป็นจิตพระอรหันต์  เป็นจิตไกลจากกิเลส ไกลจากความโลภ ความโกรธ ความหลง 

ผู้ที่ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่  ผู้นั้นก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล  เป็นปุถุชนธรรมดาสามัญ เป็นผู้ยังต้องแบกกองทุกข์ไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ  ตราบใดไม่ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดออกไปจากจิตจากใจแล้ว  ภพชาติก็จะไม่หมดไปจากจิตจากใจ  ตายจากชาตินี้ก็ต้องไปเกิดชาติหน้า  ตายจากชาติหน้าก็ต้องไปเกิดต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้  ขึ้นอยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง ว่ามีมากน้อยแค่ไหน  ถ้าโลภโกรธหลงมีน้อย  การทำบาปทำกรรมก็จะน้อยลงไป  ภพชาติก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไปสู่สุคติอยู่เรื่อยๆ  แต่ถ้าสะสมความโลภ ความโกรธ ความหลงไว้มาก  ความทุกข์ก็จะมีมาก  การประพฤติตัวเองให้ผิดศีลผิดธรรมก็จะมีมาก  เมื่อประพฤติผิดศีลผิดธรรมมากแล้วก็ย่อมไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย  นี่คือเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด  เรื่องของจิตที่ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นตัวนำ  เป็นตัวผลักดันพาให้ไปเกิดนั่นเอง 

วิญญูชนคนฉลาดเมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว  ย่อมรู้ว่าควรจะทำอย่างไร  ย่อมรู้ภัยของกิเลสทั้งหลายว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย เหมือนเอาโจรมาไว้ในบ้าน  คิดดูซิว่าถ้าเอาโจรทั้งหลายมาไว้ในบ้าน  จะอยู่กันอย่างไร  จะต้องอยู่กันด้วยความหวาดระแวง ด้วยความวิตก  ถ้าเป็นไปได้จะไม่ยอมให้โจรเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเด็ดขาด  เมื่อมีโจรเข้าบ้านก็ต้องรีบเรียกตำรวจ โทร ๑๙๑  เรียกตำรวจมา บอกว่ามีโจรอยู่ในบ้าน  ช่วยกรุณามาเอาออกไปจากบ้านนี้หน่อยเถิด  พวกเราอยู่กันด้วยความเดือดร้อน ไม่ร่มเย็นเป็นสุขเลยฉันใด ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เป็นเหมือนกับโจร  ถ้ามีอยู่ในจิตมากน้อยเท่าไรแล้ว  ก็จะสร้างความทุกข์ให้กับเรา  สร้างความเกลียดให้กับเรา  ให้ไปเกลียดคนอื่น เพราะอะไร  ก็เพราะกิเลสนั่นแหละทำให้เกลียด 

ทำไมเรารักคนอื่นไม่ได้ ก็เพราะเราเกลียดชังเขา  เพราะเรามีความโกรธ ความเกลียด ความหลง  ขาดธรรม ขาดแสงสว่าง ขาดความเมตตา  ถ้ามีธรรม มีแสงสว่างแล้ว ความเมตตาก็จะมีตามขึ้นมาเอง  เพราะจะเห็นว่าทุกๆ คนในโลกนี้ เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน  เป็นเหมือนตัวเรา  มีความปรารถนาความสุข  ไม่ต้องการความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น  ไม่มีใครอยากจะให้ใครมาทำร้ายเรา มาฆ่าเรา  มาทุบตีเราฉันใด  คนอื่นก็คิดเหมือนกับเราทั้งนั้น  เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมเราจึงไปทำกับเขาได้ลงคอ  ถึงได้ทุบตีเขา   กลั่นแกล้งเขา  สร้างความทุกข์ความเดือนร้อนให้กับเขา  ไม่ช่วยเหลือเขา  ทำไมไม่ให้ความสุขกับเขา  ก็เป็นเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง  มหาโจรที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเรา ที่ชักจูงเราให้ไปกระทำในสิ่งเหล่านี้  จึงทำให้สังคมวุ่นวายกันทุกวันนี้ ก็ไม่ได้วุ่นวายเพราะอะไรหรอก  วุ่นวายเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ในจิตใจของแต่ละคนนั่นเอง 

ถ้าโทรศัพท์เรียก ๑๙๑ เรียก พระพุทธเจ้า  พระธรรม พระสงฆ์ เข้ามาสู่จิตใจ  เอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เข้ามากำจัด ความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว  จิตใจก็จะมีความสงบสุข  เพราะว่าความเดือดร้อน ความวุ่นวาย เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่มีอยู่ในจิตใจแล้ว ใจจะเย็น  ใจจะสบาย ใจจะสุข ใจจะอิ่ม  นี่เป็นความจริง  ลองประพฤติดูซิ  ลองปฏิบัติดู  ลองกำจัดให้ได้ ๓ ตัวนี้    มหาโจรทั้ง ๓ ตัวนี้    ให้ออกไปจากจิตจากใจ แล้วจะรู้เองว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร  มันอยู่ในจิตใจ เมื่อมีความสุข ความอิ่ม มีความพอแล้ว  จะไม่ไปแสวงหาอะไรต่อไปจากภายนอก  เพราะว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข  ไม่ใช่ของแท้ ของจริง  เป็นของปลอม  เป็นของสมมุติขึ้นมา  ตั้งให้เป็นนายพล เป็นนายก เป็นรัฐมนตรี เป็นพระเจ้าแผ่นดิน  เป็นสมมุติทั้งนั้น  เมื่อตายไปก็เอาใส่โลงไปไม่ได้  ไม่ติดตัวไป  ตายไปดีไม่ดีกลับมาเกิดเป็นสุนัขก็มีอยู่

มีเรื่องในพระไตรปิฏกแสดงไว้เกี่ยวกับเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง  เมื่อตายไปแล้ว ได้กลับมาเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตนเอง เพราะห่วงสมบัติ  มีสมบัติมาก  เมื่อตายไปก็เลยต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นสุนัขกลับมาเกิด  พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตผ่านบ้านนี้ เห็นสุนัขตัวนี้ ทรงเล็งญาณดูก็รู้ว่าสุนัขตัวนี้ เป็นเจ้าของบ้านนี้แหละ  ตายไปแล้วยังห่วงสมบัติอยู่ เลยกลับมาเกิดเป็นสุนัข  มีสมบัติฝังไว้ในดินไม่บอกใคร  ลูกๆ ก็ไม่รู้ว่าพ่อเอาสมบัติไปไว้ที่ไหน  พระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็เลยบอกลูกๆ ว่า  สุนัขตัวนี้เป็นพ่อของพวกเธอนะ  เลี้ยงให้ดีแล้วเดี๋ยวมันจะพาไปหาสมบัติให้  พวกลูกๆจึงเลี้ยงสุนัขตัวนี้อย่างดี  สุนัขตัวนี้ก็พาไปขุดคุ้ยเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ออกมา

นี่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก  ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามเถิด  แต่สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ไม่มีของปลอมเลย เป็นของจริงทั้งนั้น เพราะผู้ที่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกแล้วนำไปปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว  ไม่มีแม้แต่รูปเดียวที่จะมาประกาศบอกว่าพระไตรปิฎกเป็นของปลอม เป็นของไม่จริง  ไม่มีแม้แต่รูปเดียว  มีแต่รับรองพระไตรปิฎกทั้งนั้น  สนับสนุนให้เชื่อในพระไตรปิฎก  เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุธเจ้า  และให้รักษาพระธรรมคำสอนด้วยความศรัทธา ด้วยความเลื่อมใส  ด้วยความเคารพ   

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า พวกเราจะอยู่กันด้วยความเจริญรุ่งเรือง  ถ้าเราไม่บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติขึ้นมา  และไม่ลบล้างในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว  คืออย่าไปแก้พระไตรปิฎก ว่าพระธรรมบทนั้น บทนี้ไม่จำเป็น ไม่ต้องปฏิบัติตาม อย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง  สิ่งใดที่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก  ไม่ว่าจะเป็นพระธรรม หรือพระวินัยก็ตาม เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ดีแล้ว  เป็นสิ่งที่ควรจะรักษาด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม  ไม่ใช่เอาแต่ความสะดวก โดยเห็นว่าพระวินัยข้อห้ามต่างๆ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นมานั้นล้าสมัยแล้ว หมดสมัยแล้ว  เป็นสิ่งกีดขวางความเจริญ  ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วก็เท่ากับเอาตัวออกห่างจากพระธรรม จากพระสงฆ์ จากพระพุทธเจ้านั่นเอง แทนที่จะเอาตำรวจเข้าบ้านเพื่อมากำจัดโจรออกไปจากบ้าน  กลับไล่ตำรวจออกไปจากบ้าน  ถ้าไม่มีตำรวจอยู่ในบ้านแล้ว โจรก็จะฮึกเหิมขึ้นมาฉันใด  ถ้าไม่มีธรรมวินัยอยู่ในใจของมนุษย์แล้ว  ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะยิ่งฮึกเหิมขึ้นมาใหญ่  ทำให้สังคมวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไป  จะเดือดร้อนกันมาก  ถ้าไม่มีศีลธรรมอยู่ในใจ

ขอให้เห็นความสำคัญของพระธรรมวินัยซึ่งเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์ บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎก  ขอให้พวกเราจงทำนุบำรุงรักษาพระธรรมวินัยด้วยการศึกษาและนำไปปฏิบัติ จนบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆขึ้นมา แล้วจะเป็นผู้ที่ดูแลรักษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี  เพราะมีดวงตาเห็นธรรมที่ขจัดความสงสัยต่างๆที่มีอยู่ในใจให้หมดไปได้  เรื่องความสงสัยว่าพระไตรปิฎกเป็นของจริงหรือไม่ ก็จะหมดไป  ตายแล้วจะต้องไปเกิดหรือไม่ก็จะหมดไป  กรรมมีจริงหรือไม่ก็จะหมดไป  นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ก็จะหมดไป  พวกเรานี่แหละที่จะทำนุบำรุงรักษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพื่อจะได้อยู่คู่โลก คู่บ้านคู่เมืองไปอีกนานแสนนาน  เพื่ออะไร ก็เพื่อประโยชน์สุขของพวกเราและลูกหลานของเรา 

ที่ไหนมีธรรมที่นั่นมีความสงบร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญที่แท้จริง  ที่ไหนไม่มีธรรมแล้วที่นั่นแหละจะเป็นที่มีแต่ความวุ่นวาย  มีแต่ความทุกข์ ความยากลำบาก ทั่วทุกซอกทุกมุมของดินแดน จึงขอให้เห็นความสำคัญของพระธรรมวินัย ให้เห็นว่าพระธรรมวินัยคือศาสดาของพวกเรา  คือพระพุทธเจ้าของพวกเรา  พระพุทธเจ้าไม่ได้ห่างไกลจากพวกเราเลย  เพียงยกหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน  พระพุทธเจ้าก็ถึงตัวเราแล้ว ถึงใจเราแล้ว  ทุกครั้งที่เราฟังเทศน์ฟังธรรม พระพุทธเจ้าก็ถึงตัวเราแล้ว ถึงใจเราแล้ว  เราจึงไม่ได้อยู่ปราศจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย  ถ้าเราน้อมพระธรรมวินัยเข้ามาสู่ตัวเราด้วยการศึกษาและการปฏิบัติธรรม   การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้