กัณฑ์ที่ ๗๘       ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๔

พระปฐมเทศนา

 

วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของพระพุทธศาสนา คือวันนี้เมื่อ ๒๕๘๙ ปีมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระศาสนา พระธรรมคำสอนให้แก่สัตว์โลก เป็นการบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้ในโลกนี้แล้ว  และจะทำการเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ผู้ที่ยังตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ ความเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีสิ้นสุด จะได้มีหนทางหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเหล่านี้เสีย   ตราบใดยังไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และประกาศพระธรรมคำสอนให้กับสัตว์โลกแล้ว  สัตว์โลกก็ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ขึ้นๆลงๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   เมื่อเกิดแล้วก็ต้องมีการแก่ มีการเจ็บ มีการตาย มีการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ  มีการประสบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาทั้งหลาย  ซึ่งพระบรมศาสดาทรงชี้ว่าเป็นความทุกข์ 

ความทุกข์เหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลบหลีกได้ ดับมันได้ถ้ารู้เหตุของความทุกข์ว่าเกิดจากอะไร  ในพระปฐมเทศนา คือ พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงโปรดปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานาม อัสสชิ เนื้อหาสาระของพระสูตรนี้ คือ พระอริยสัจ ๔   เป็นสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ เกี่ยวกับเรื่องทุกข์ ต้นเหตุของทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์   เป็นความรู้ที่ไม่มีใครในโลกนี้รู้มาก่อน เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถตรัสรู้เข้าถึงความจริงทั้ง ๔ ประการนี้  เมื่อได้ทรงตรัสรู้พระอริยสัจ ๔แล้ว  พระพุทธองค์จึงนำมาสั่งสอนแก่ผู้อื่นต่อไป 

พวกเรายังไม่รู้จักพระอริยสัจ ๔    ยังมีความหลงอยู่ ยังเห็นผิดเป็นชอบอยู่ เห็นว่าต้นเหตุของความทุกข์เป็นความสุข  อะไรคือต้นเหตุของความทุกข์  พระบรมศาสดาทรงแสดงว่าต้นเหตุของความทุกข์ก็คือความอยากทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ ความหลง  เมื่อเกิดขึ้นในจิตแล้วจะสร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นมา ทำให้จิตร้อนรนกระวนกระวาย กินไม่ได้นอนไม่หลับ อยู่ไม่สุข และเมื่อเกิดความทุกข์แล้ว ก็พยายามไปหาวิธีแก้ ก็แก้ไม่ถูกอีก คือแทนที่จะเอาน้ำมาดับไฟในใจ  กลับเอาฟืนเติมเข้าไปในกองเพลิง  ทำให้ไฟของความทุกข์ในจิตโหมลุกแรงขึ้นไปอีก  แทนที่จะลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากทั้งหลาย กลับไปเพิ่มความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นอีก  เลยยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีกมากมายก่ายกองเลยทีเดียว 

สังเกตดูเวลาเกิดความโลภเกิดความอยาก แทนที่จะระงับความโลภนั้นด้วยการใช้เหตุใช้ผลว่า  เอาไปทำไมของเหล่านี้ ไม่พอใช้หรืออย่างไร   ไม่มีสิ่งเหล่านี้จะตายหรือเปล่า นี่คือวิธีดับความโลภ ต้องใช้เหตุผลเข้ามาระงับ  เห็นอะไรก็อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็นกับเขา ทั้งๆที่เมื่อได้มาแล้ว มีแล้ว เป็นแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ความทุกข์หมดไป  กลับเพิ่มความทุกข์ขึ้นมา เพราะความไม่อิ่ม ไม่พอนั่นเอง  ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่อยากจะได้ สิ่งที่อยากจะเป็นนั้น  ถ้าไม่ได้ ไม่มี จะตายหรือเปล่า   ถ้าไม่ตายก็แสดงว่าไม่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอา

ถ้าไม่เอาแล้วก็จะดับความโลภได้ ดับความอยากได้ ดับความทุกข์ได้   แต่ถ้าเอามาแล้ว ต่อไปก็จะเกิดความอยากขึ้นมาอีก เช่นวันนี้ได้เงินมา ๑๐๐๐๐ บาท พรุ่งนี้ก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นอีก ความอยากนี้จะต่อเติมไปเรื่อยๆจะไม่ทำให้หยุดกับที่  จะเป็นเหมือนกับการวิ่งตะครุบเงา วิ่งเท่าไรก็จะไม่ทันเงา  เพราะเงาจะต้องอยู่ข้างหน้าเสมอ ฉันใด  ความอยากต่างๆ ก็เหมือนกัน อยากมีความร่ำรวยเพิ่มขึ้น มีเงินทองขนาดนี้แล้วก็ยังไม่พอ อยากจะมีมากขึ้นไป  มีตำแหน่งต่างๆที่มีอยู่ตอนนี้ ก็ไม่พออยากจะมีสูงขึ้นไปอีก  แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อได้มาแล้ว  แทนที่จะมีความสุขเพิ่มขึ้น กลับมีความทุกข์เพิ่มขึ้นไปอีก  เพราะอยากจะได้มากขึ้นไปอีกนั่นเอง  ไม่มีที่สิ้นสุด 

แต่ถ้าตัดความอยากได้แล้ว ใจจะสบาย ใจจะเย็น ใจจะสงบ  เพราะรู้จักคำว่า พอ  คำว่า พอ เป็นคำที่ประเสริฐที่สุด  เมื่อพอแล้วก็จะมีความสุข   ถ้ายังไม่พอ ก็ยังจะต้องหาไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันตาย  เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดใหม่ แล้วก็ไปหาใหม่  นี่คือความจริงของสมุทัย  ต้นเหตุของความทุกข์ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เห็น  ด้วยพระสติปัญญา ใช้เหตุผล  ถ้าไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพก็ไม่เอา  ถ้าไม่มีแล้วไม่ตายก็ไม่เอา  นี่คือวิธีการดับทุกข์  พระพุทธองค์ตรัสว่า มรรค คือวิธีดับทุกข์  จะดับทุกข์ได้จะต้องใช้ปัญญา  เพราะว่าทุกข์เกิดจากความหลง ความหลงทำให้เกิดความอยาก หลงว่ามีแล้วจะดี หลงว่ามีแล้วจะสุข คิดว่ามีแล้วจะอิ่มจะมีความพอ  แต่ที่ไหนได้ ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งอยากจะมีมากขึ้นเท่านั้น  นี่คือความหลง 

พระพุทธองค์จึงใช้ปัญญา ใช้เหตุใช้ผล  ถ้ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีพก็เอา เช่นถ้าไม่รับประทานอาหารก็จะตาย ก็ต้องรับประทานอาหารกัน  เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ต้องมีนุ่งมีห่ม   แต่มีเท่าที่จำเป็น พอสมควรก็พอ  ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว ใจจะไม่มีความทุกข์ ใจจะมีความสงบ ใจจะมีความสุข  วันๆหนึ่งไม่ต้องไปเหนื่อยยากกับอะไรให้มากจนเกินควร  ไม่ต้องไปเหนื่อยทำมาหากินจนเกินความจำเป็น แล้วเอาเงินทองที่หาได้มาด้วยความเหนื่อยยาก ไปใช้โดยที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร คือเอาไปใช้ตามความอยาก เช่นเอาไปซื้อข้าวซื้อของที่ไม่จำเป็น เอาไปเที่ยวเตร่  เหมือนกับเอาเงินไปถมเหว   ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม  เพราะเหวมันลึกมากฉันใด  เงินทองที่เอาไปใช้สนองความอยาก ก็ไม่ทำให้ความอยากหมดไป  มีแต่จะเพิ่มความอยากให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป

จึงต้องใช้เหตุ ใช้ผล ใช้ปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องดับความทุกข์ได้  เพราะปัญญาเป็นเหตุที่จะไปดับความหลง  แต่ก่อนที่จะมีปัญญาได้ จิตจะต้องสงบก่อน ต้องมีสมาธิก่อน  การที่จะมีสมาธิได้ จะต้องมีศีลก่อน  ถ้ายังไม่มีศีล จะมีแต่ความวุ่นวายใจ เพราะเวลาไปทำผิดศีลผิดธรรมแล้ว จิตจะมีความกังวล มีความวิตก มีความเดือดร้อนใจ  ทำความสงบได้ยาก  ทำจิตให้สงบตั้งมั่นได้ยาก  จึงต้องมีศีลก่อน และการที่จะรักษาศีลได้ ก็ต้องมีทาน การให้ก่อน   คนที่ทำบุญให้ทานเป็นคนมีเมตตา เป็นคนที่มองมนุษย์ร่วมโลกเป็นเพื่อนกัน  เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นพี่ เป็นน้องกัน  ถ้ามีความเมตตาแล้ว ก็จะมีการให้กัน  จะไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น  จะไม่กล้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง  เพราะรู้ว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น 

นี่คือทางที่จะนำพาไปสู่ปัญญา ความรู้ ความฉลาด ที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ เรียกว่ามรรค เป็นอริยสัจข้อที่ ๔  ถ้ามีมรรคครบบริบูรณ์แล้วก็จะสามารถระงับดับความทุกข์ต่างๆได้  การดับทุกข์ก็คืออริยสัจข้อที่ ๓ อริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจที่ต้องเจริญให้มากๆ ก็คือมรรคนั่นเอง  เพราะมรรคเปรียบเหมือนกับน้ำดับไฟ  เวลาไฟไหม้บ้าน  สิ่งที่จำเป็นต่อการดับไฟคืออะไร ก็คือน้ำ   จะต้องรีบโทรศัพท์ไปเรียกรถดับเพลิง  ช่วยกันขนน้ำมาดับไฟฉันใด  ถ้าต้องการที่จะดับความทุกข์ในใจ ต้องการจะมีความสุขใจ ก็ต้องมีน้ำดับไฟในใจ  น้ำดับไฟนี้ก็คือธรรม  เรียกว่ามรรคนั่นเอง  มรรค เมื่อสรุปลงแล้วก็คือ การทำบุญให้ทาน การรักษาศีล การเจริญจิตตภาวนา นั่งสมาธิและเจริญปัญญา  ถ้าปฏิบัติธรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องแล้ว  จิตจะค่อยๆสงบ จะค่อยๆเย็น ความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ในจิต ที่เกิดจากความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะค่อยๆหมดไป  เพราะน้ำแห่งธรรมค่อยๆชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยาก ให้สลายออกไปจากจิตจากใจ 

นี่คือพระปฐมเทศนา พระธรรมคำสอนครั้งแรกที่พระพุทธองค์ทรงประกาศสั่งสอนแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ หลังจากการแสดงธรรม  หนึ่งในปัญจวัคคีย์ คือ  โกณฑัญญะ ก็ได้บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา บรรลุเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น คือ พระโสดาบัน ในวันนั้นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ปรากฏครบองค์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก  มีพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม มีผู้ฟังธรรมได้บรรลุเป็นเป็นพระอริยสงฆ องค์แรกขึ้นมา  พระพุทธศาสนาจึงปรากฏขึ้นมาในวันนั้น   พระศาสนาก็ได้เจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับจนถึงปัจจุบันนี้ มีอายุครบ ๒๕๘๙ ปี เพราะความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดามาศึกษา และประพฤติปฏิบัติจนบรรลุเห็นธรรมขึ้นมา  หลังจากนั้นก็นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนถ่ายทอดกันต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับพุทธศาสนิกชนทุกๆคน ที่จะขวนขวายศึกษา ร่ำเรียนและนำเอาไปประพฤติปฏิบัติจนบรรลุเห็นธรรม แล้วจึงค่อยเอาไปเผยแผ่ให้ผู้อื่นต่อไป

ในวันอันสำคัญอย่างยิ่งคือวันนี้ พุทธศาสนิกชนจึงได้มาบูชาพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ด้วย อามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา อามิสบูชาคือการบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียน  ส่วนการปฏิบัติบูชาคือการประพฤติตน ให้อยู่ตามทำนองคลองธรรม  ตามหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในการบูชาทั้ง ๒ นี้  พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าการปฏิบัติบูชาคือการบูชาที่แท้จริง  ผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่พระธรรมคำสอน ผู้นั้นแลคือผู้บูชาเราตถาคต  นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาจากพุทธศาสนิกชน  ทรงประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชน์ของพุทธศาสนิกชนโดยตรง พระพุทธองค์ไม่ได้รับประโยชน์จากการสั่งสอนพระธรรมคำสอนของท่านเลย 

เพราะว่าจิตของพระพุทธองค์นั้นสะอาดหมดจดแล้ว บริบูรณ์ด้วยบุญและกุศลทั้งหลายแล้ว  เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วแล้ว  จะเทน้ำอะไรลงไปอีกก็จะล้นออกมาฉันใด  การที่พระพุทธองค์ได้สละเวลาประกาศพระธรรมคำสอนให้แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ก็เพื่อประโยชน์ของพุทธศาสนิกชนนั่นเอง  เพราะความกรุณา ความสงสาร ที่เห็นพวกเราผู้ที่ยังหลงอยู่ในกองเพลิงแล้วหาทางออกไม่ได้  ส่วนพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้หลุดออกจากกองเพลิงแล้ว จึงอุตส่าห์กระโดดเข้ามาในกองเพลิงเพื่อฉุดพวกเราให้ออกจากกองเพลิง  วิธีที่จะออกได้ก็คือต้องเดินตามพระธรรมคำสอน  พระพุทธองค์ไม่สามารถอุ้มเราออกมาได้  เราจะต้องเดินออกมาเอง คือต้องเชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน  เมื่อเชื่อแล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ 

การสนองตอบพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ได้อุทิศเวลาอบรมสั่งสอนพวกเรา จึงต้องกระทำด้วยการปฏิบัติบูชา ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม  ละการกระทำบาปทั้งปวง ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ออกจากจิตจากใจ  ทุกครั้งเวลาเกิดความโลภก็ให้มีสติ ให้บอกว่าโลภไม่ได้นะ โลภแล้วจะทุกข์ขึ้นไปใหญ่  เวลาเกิดความโกรธก็เช่นกัน บอกว่าต้องหยุดความโกรธนี้  เวลาเกิดความหลง ต้องบอกตัวเราให้หยุดความหลงนี้  ถ้าเตือนสติตัวเองได้ ต่อไปก็จะสามารถระงับดับความโลภ ความโกรธ ความหลงได้  เมื่อทำได้แล้วก็ถือว่าได้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างเต็มที่ด้วยการปฏิบัติบูชา  เมื่อได้บูชาอย่างนี้แล้ว ความเป็นสิริมงคลย่อมเกิดขึ้นกับตน  ดังในพระบาลีที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังกลมุตตมัง  การได้บูชาบุคคลที่สมควรแก่การบูชา เป็นมงคลอย่างยิ่ง ในวันอุดมมงคลวันนี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา มาประพฤติปฏิบัติกับตัวของท่านเอง ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ แล้วความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นสิริมงคล ย่อมเป็นของท่านต่อไปอย่างแน่นอน การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้