กัณฑ์ที่ ๙๗     ๖ มกราคม ๒๕๔๕

สัจจอธิษฐาน

 

วันนี้เป็นวันพระแรกของปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ เป็นเวลาที่ดี ที่พวกเราทั้งหลายจะมาตั้งต้นกันใหม่ คือชีวิตของเราในอดีตมันก็ผ่านไปหมดแล้ว ที่จะเหลืออยู่ก็มีแต่อนาคตที่จะตามมา และอนาคตที่จะตามมานั้น จะดีหรือไม่ดีอย่างไร  ก็ขึ้นกับปัจจุบันของเรา ว่าเราจะทำอย่างไร  เพราะความสุขและความเจริญหรือความทุกข์และความเสื่อมนั้น เป็นผลที่จะตามมาจากการปฏิบัติของเราในปัจจุบัน  ถ้าทำในสิ่งที่ดี  ละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว เราย่อมได้รับผลดีคือความสุขและความเจริญ ส่วนผลไม่ดีคือความทุกข์ความหายนะก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา  เราจึงควรตั้งเป้าหมายชีวิตของเราว่า  ในระยะเวลา ๓๖๕ วันต่อไปนี้  เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร  เป็นการตั้งเป้าหมายของชีวิตเรา  ถ้าเราปรารถนาความสุขความเจริญ ไม่ปรารถนาความทุกข์ความหายนะ  เราก็จะต้องสร้างเหตุที่ดีและละเว้นเหตุที่ไม่ดีเท่านั้นเอง

การที่เราจะสามารถดำเนินการไปตามเป้าหมายได้นั้น เราจะต้องตั้งจิตอธิษฐาน  คือจะต้องมีความตั้งใจบอกกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะกระทำอะไรบ้าง และจะไม่กระทำอะไรบ้าง  ทางภาษาบาลี  ภาษาพระ  ท่านเรียกว่าอธิษฐาน   การอธิษฐานเป็นการตั้งใจ ว่าจะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในระยะเวลาเท่าไร  สุดแท้แต่ที่เราจะกำหนด  อธิษฐานไม่ได้หมายความว่า  ขอสิ่งนั้นสิ่งนี้จากบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  เพราะว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมีใครมาหยิบยื่นให้กับเราได้  แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องสร้างขึ้นมา ด้วยความประพฤติของเรา ทางกาย  ทางวาจา  และทางจิตใจ  ในการที่จะทำให้ความตั้งใจของเราเป็นไปสมกับความปรารถนา  เราจะต้องมีสัจจะเป็นเครื่องควบคุมความตั้งใจของเราด้วย  สัจจะคือความจริงใจ  เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ตาม เราจะต้องมีความจริงใจว่าจะต้องทำในสิ่งนั้นๆให้ได้ด้วย  ไม่ใช่สักแต่ว่าตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำอย่างนั้น  ทำอย่างนี้   พอกระทำไปได้เพียงครั้งสองครั้งก็ไม่ทำอีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ความตั้งใจที่ดีของเราก็จะไม่บรรลุผลที่ดีงามตามที่เราปรารถนากัน

ถ้าต้องการผลที่ดีที่งาม เราจึงต้องมีสัจจะคือความจริงใจ  ความแน่วแน่ต่อความตั้งใจของเรา    จึงเรียก ๒ สิ่งนี้รวมกันว่า สัจจอธิษฐาน      ถ้ามีสัจจอธิษฐานแล้ว เราจะสามารถกระทำตามความตั้งใจไปได้ตลอดรอดฝั่งจนบรรลุผลขึ้นมา  แต่ก่อนที่เราจะตั้งสัจจอธิษฐาน  ต้องพิจารณาดูความสามารถของเราก่อนว่า สิ่งที่จะกระทำนั้นอยู่ในวิสัยที่เราจะกระทำได้หรือเปล่า  ถ้าอยู่เหนือวิสัยของเราๆก็อย่าเพิ่งไปตั้งสัจจอธิษฐาน เพราะว่าถ้าจะทำสิ่งที่สุดความสามารถของเราแล้ว  จะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ก็จะทำให้เกิดความท้อแท้ขึ้นมา  ทำให้เราเป็นคนโลเล  ไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงใจ  แต่ถ้าเราพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราจะกระทำต่อไปนี้  อยู่ในวิสัยของเราที่เราจะกระทำได้  สิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งที่เราควรตั้งสัจจอธิษฐาน แล้วเราก็จะสามารถดำเนินไปได้ตลอดจนถึงผลที่เราต้องการ

คนเราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราปรารถนา  จะต้องอาศัยสัจจอธิษฐานเป็นเหตุเบื้องต้น  ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งสัจจอธิษฐานไว้ ก่อนที่จะทรงตรัสรู้ในขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์  พระพุทธองค์ทรงตั้งสัจจอธิษฐานว่า  ต่อไปนี้จะนั่งบำเพ็ญจิตตภาวนาอยู่ในที่นี้  โดยจะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ไปจนกว่าจะได้บรรลุธรรม  ถึงแม้ว่าโลหิตในร่างกายจะเหือดแห้งไป  ถึงแม้ว่าชีวิตนี้จะหมดสิ้นไปก็ตาม  ถ้าตราบใดยังไม่ได้บรรลุผลที่ต้องการแล้วละก็  จะไม่ลุกจากที่นี่ไปเป็นอันขาด  นี่คือสัจจวาจาที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งไว้กับพระพุทธองค์เอง  ถ้าไม่ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า  ก็มีแต่ตายเท่านั้น  ถ้าไม่ตายก็จะต้องบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า  เมื่อเป็นดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติในกิจที่พระพุทธองค์ต้องกระทำ  และเมื่อจิตมีความแน่วแน่มั่นคงแล้ว  การกระทำอะไรก็จะมีพลัง และเมื่อมีพลังแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่มีทางที่จะขวางการปฏิบัติของเราไปได้  พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้ ก็เพราะสัจจอธิษฐานบารมีนี้เอง

พวกเราก็เช่นกัน ถ้าปรารถนาความสุขความเจริญแล้วละก็ เราก็จะต้องตั้งสัจจอธิษฐานขึ้นมา  โดยกระทำในสิ่งที่เราเห็นว่าง่ายไปก่อน  ทำจากสิ่งง่ายไปหาสิ่งที่ยาก  เช่นในเบื้องต้นเราอาจจะตั้งจิตสัจจอธิษฐานว่า  ต่อไปนี้เราจะละเว้นจากอบายมุขทั้งหลาย เช่น  การเสพสุรายาเมา  การเล่นการพนัน  การเที่ยวเตร่  การคบคนชั่วเป็นมิตร และความเกียจคร้าน  ถ้าอยู่ในวิสัยของเราก็ตั้งสัจจอธิษฐานไปเลย  หลังจากที่กระทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว เราก็ขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง  ด้วยการตั้งสัจจอธิษฐานว่า ต่อไปนี้เราจะเป็นผู้มีศีล  คือจะละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ละเว้นจากการลักทรัพย์  ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี  ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ ซึ่งเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความทุกข์และความเสื่อมเสียทั้งหลาย  ถ้าไม่ปรารถนาความทุกข์  ความเสื่อมเสีย  ความหายนะแล้ว  เราก็จะต้องละเว้นจากการกระทำสิ่งเหล่านี้   ถ้าได้ละเว้นจากการกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว  เรื่องของความทุกข์  ความเสื่อมเสียก็จะไม่มารบกวนจิตใจของเรา เพราะนี่เป็นเรื่องของเหตุและผล  เหตุก็คือการกระทำ  ผลก็คือสุขทุกข์ที่จะตามมาจากการกระทำนั้นๆ

นี่คือเรื่องของการตั้งจิตตั้งใจ ในการละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ส่วนสิ่งที่ดีงาม เราก็ต้องตั้งสัจจอธิษฐานเช่นกัน ว่าต่อไปนี้เราจะเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร  ขยันทำงานทำมาหากิน  ขยันศึกษาเล่าเรียน  ขยันทำบุญทำทาน  ขยันเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม  ขยันไหว้พระสวดมนต์ทำจิตให้สงบ  ขยันเจริญปัญญาให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ว่ามีคุณลักษณะอย่างไร  นี่ก็คือความดี   ถ้าเรามีความขยันแล้ว  เราก็จะสามารถกระทำสิ่งต่างๆ  ที่เป็นเหตุที่ดีที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญได้  เช่นขยันทำมาหากินเพื่อที่จะได้มีเงินมีทอง  มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  ถ้าหาเงินได้มากกว่าความจำเป็น  เงินส่วนเกินก็จะเอามาทำประโยชน์  จะไม่เอาเงินทองที่หามาได้ด้วยความลำบากยากเย็นมาใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย  ใช้กับสิ่งที่ฟุ่มเฟือย  ไม่จำเป็นกับการดำรงชีพหรือกับการทำมาหากินของเรา  ถ้าไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้ถูกหลักแล้ว ทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์หามาด้วยความลำบากยากเย็น  แทนที่จะเป็นประโยชน์กับเรา กลับมาทำลายตัวเรา สร้างความทุกข์  สร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเรา

เมื่อหาเงินมาได้แล้ว สิ่งแรกที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ การดูแลอัตภาพร่างกายชีวิตของเรา คือต้องมีเงินทองไว้สำหรับซื้อพวกปัจจัย ๔ ทั้งหลาย  คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค  เมื่อดูแลรักษาตัวเองได้แล้ว ขั้นต่อไปถ้ายังมีเงินทองเหลือใช้  เราก็ดูแลผู้อื่นต่อไป  ดูแลบุคคลที่มีพระคุณกับเรา เช่นบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติสนิทมิตรสหาย  พระสงฆ์องค์เจ้า  สมณชีพราหมณ์ผู้ทำคุณ ทำประโยชน์  สั่งสอน อบรมในด้านศีลธรรม  เป็นการนำทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ มาทำคุณทำประโยชน์ และถ้ายังมีเหลืออีกส่วนหนึ่ง ก็เอาไปช่วยเหลือสังคม ไม่ว่าจะในทางโลกหรือทางธรรม เช่น ช่วยบูรณะซ่อมแซมวัดวาอาราม กุฏิวิหาร ทำนุบำรุงสิ่งต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการตั้งอยู่ของวัด ทางด้านสังคม บริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน ช่วยบุคคลต่างๆที่มีความตกทุกข์ได้ยาก เป็นการนำเงินที่เหลือจากความจำเป็นมาใช้ให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์ เป็นบุญ เป็นกุศล

ผู้ที่ได้ให้ทานแล้วจิตใจจะมีความสดชื่นเบิกบาน  มีความสุข  มีความอิ่ม  มีความปีติ เพราะการให้ทานเป็นการชำระขัดเกลาจิตใจ ชำระขัดเกลากิเลสตัณหาเครื่องเศร้าหมอง  ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความไม่สดชื่น  ความหิว  ความกระหายให้กับจิตใจ ถ้ามีมากน้อยเท่าไหร่อยู่ภายในใจ ก็จะสร้างความทุกข์มากน้อยตามลำดับให้กับใจ  และจะเป็นตัวฉุดลากใจให้ไปกระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย  ถ้าได้ทำบุญทำทานแล้ว จะได้ขัดเกลาชำระกิเลสตัณหาเครื่องเศร้าหมอง  ให้ออกไปจากจิตจากใจ  ได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการทำบุญให้ทานของเรา  ทำมากๆจิตใจก็จะสะอาดขึ้นมาก  ความสุข ความอิ่ม ความปีติก็จะมีมากขึ้น เมื่อมีความสุข มีความอิ่ม มีความปีติในใจแล้ว ความกดดันให้ไปหาสิ่งต่างๆที่ไม่ใช่เป็นความจำเป็นต่อการดำรงชีพก็จะมีน้อยลงไป

สาเหตุที่คนเรายังไม่สามารถที่จะละเว้นจากอบายมุขทั้งหลายได้ เช่นการเที่ยวเตร่ก็ดี การเสพสุรายาเมาก็ดี  ก็เป็นเพราะว่ายังมีกิเลสตัณหาอยู่ในใจมาก ไม่ได้รับการขัดเกลานั้นเอง เมื่อไม่ได้รับการขัดเกลาแล้ว เวลามีทรัพย์  มีเงิน  มีทอง  ก็อยากจะเอาเงินทองไปใช้ในทางนี้ เช่นไปแสวงหาความสุขทางด้านกามคุณ ๕  คือความสุขทาง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  ดูหนังดูละคร เที่ยวเตร่ยามค่ำคืน กินเหล้าเมายาเป็นต้น เป็นการแสวงหาความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่แท้จริง  เพราะเมื่อเสพไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้จิตใจมีความอิ่ม มีความพอ  แต่กลับสร้างความอยากให้มีเพิ่มมากขึ้นไปอีก  เมื่อได้ออกไปเที่ยววันนี้แล้ว  พรุ่งนี้ก็อยากจะออกไปเที่ยวอีก  เพราะเป็นธรรมชาติของกามคุณ ๕  ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมาขัดเกลาลดละกิเลสตัณหาให้เบาบางลงไป  แต่เป็นการเพิ่มพูนกิเลสตัณหาให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป

ถ้าเราเอาทรัพย์สินเงินทอง ที่หาได้มาด้วยความลำบากยากเย็น มาใช้ในแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับเป็นการเสริมสร้างกิเลสตัณหาให้มาเผาผลาญเรา ให้มีความทุกข์มากขึ้นไปอีกในจิตใจของเรา เป็นการใช้ทรัพย์ที่ไม่ถูก ไม่ฉลาด เพราะขาดสติ  ขาดปัญญานั่นเอง  ไม่รู้ว่าการใช้เงินทองแบบไหนถึงเกิดคุณและเกิดประโยชน์   การใช้เงินทองแบบไหนทำให้เกิดโทษเกิดความทุกข์ขึ้นมา  เราต้องรู้จักแยกแยะ รู้ว่าถ้าใช้เงินทองไปแล้ว เป็นการขัดเกลาจิตใจ ทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเบาบางลงไป อย่างนี้ถือว่าเป็นการใช้เงินทองที่ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เงินทองไปแล้วทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมีเพิ่มพูนขึ้นมา อย่างนี้แสดงว่าเป็นการใช้เงินทองไปในทางที่ผิด ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเรา

ถ้าเราไม่ทราบว่าการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงามนั้นเป็นอย่างไร  เราก็ต้องเข้าหาผู้รู้  เข้าหาพระศาสนา ศึกษาพระธรรมคำสอน ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอ จากพระที่รู้จริงเห็นจริงอย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและได้ปฏิบัติมาแล้ว เกี่ยวกับเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์และความเสื่อมเสีย  ท่านได้ศึกษาและท่านได้ปฏิบัติจนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง  ตามหลักเหตุและผลแล้วว่าเป็นอย่างไร  เมื่อได้เห็นแล้วและได้สัมผัสกับผลอันดีเลิศจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ท่านจึงนำเอาความรู้นี้มาสั่งสอนพวกเรา  พวกเราผู้ที่ยังด้อยปัญญา  เป็นเหมือนกับคนที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่  เราจึงต้องอาศัยคนตาดีหูดีเป็นผู้สอนเรา  เป็นผู้นำพาเรา  ถ้าเราไม่เข้าหาบุคคลเหล่านี้แล้ว เราก็จะเป็นคนที่ไม่รู้จักว่า อะไรดี  อะไรชั่ว แล้วการกระทำของเราก็จะทำไปแบบผิดๆถูกๆ  ดีบ้าง  ชั่วบ้าง  แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่ไม่ดี  เพราะว่าในใจของเรา มีความมืดบอด  คือโมหะอวิชชาเป็นตัวที่คอยจะชักจูงเรา ไปกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ไม่ดี  ไม่งามนั่นเอง  เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลที่ไม่ดีไม่งามก็จะตามมา ชีวิตของเราก็เลยเป็นชีวิตที่วนเวียนอยู่กับกองทุกข์แบบไม่รู้จักหมดสิ้น

เราได้เกิดตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วบนกองทุกข์นี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า เรามีความมืดบอดเป็นตัวชักนำเราไป  พาเราไปนั่นเอง   เพราะเราไม่ได้มีโอกาสได้เข้าพบปะกับผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวกทั้งหลาย แต่ชาตินี้เราโชคดี  เป็นชาติที่ดีของเรา เพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา  ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วก็ตาม  แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตัวพระพุทธองค์เองยังไม่ได้จากพวกเราไป  เพราะว่าตัวของพระพุทธองค์ที่แท้จริงก็คือพระธรรมวินัยที่ทรงตรัสไว้ชอบแล้วนั่นเอง ธรรมวินัยที่ตรัสไว้ชอบนี่แหละ จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย พวกเธอสามารถพึ่งธรรมวินัยของเราได้ ถึงแม้จะไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้าในขณะที่ทรงมีชีวิตอยู่ก็ตาม เราก็ยังได้พบพระพุทธเจ้าที่แท้จริง คือพระธรรมคำสอนนั่นเอง ถ้าน้อมเอาพระธรรมคำสอนเข้ามา แล้วประพฤติปฏิบัติ  ก็เท่ากับได้อยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้า  เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต  ผู้นั้นเห็นธรรม

ถ้าต้องการจะพบกับพระพุทธเจ้า ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า เราจึงต้องน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติกับกาย วาจา ใจของเรา ดังที่พวกเราทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้  เราได้มาทำบุญ ได้มารักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม และเราจะตั้งสัจจอธิษฐานว่าต่อไปนี้เราจะกระทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม  จะละเว้นจากการกระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ตามแต่กำลังสติปัญญา ความสามารถของเราเท่าที่เราจะทำได้  ถ้าเราทำอย่างนี้แล้ว เชื่อได้เลยว่าชีวิตของเราต่อไปในอนาคตจะดีขึ้น ชีวิตของเราอยู่ในกำมือของเรา ชีวิตของเราไม่มีใครมาลิขิตให้กับเรา เราต่างหากเป็นผู้ลิขิต ไม่ใช่พรหมเป็นผู้ลิขิต แต่กรรมเป็นผู้ลิขิต กรรมคืออะไร กรรมก็คือการกระทำของเรานั่นเอง ถ้าเราทำดี ผลดีย่อมตามมา ถ้าเราทำความชั่ว ผลร้ายย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นี่เป็นสัจจธรรมความจริง เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แล้วนำเอาความจริงนี้มาสั่งสอนพวกเรา

ถ้าพวกเรามีจิตศรัทธา  เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  เชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้น เป็นสวากขาตธรรม คือเป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง  ถูกต้องทั้งเหตุและผล  คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราเชื่อแล้วเราจะได้เอาไปปฏิบัติเพื่อพิสูจน์  เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฎฐิโก  คือเป็นสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้  ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น   มีความถูกต้องตามหลักตามความจริงหรือไม่อย่างไร แต่ถ้าเราเพียงแต่ฟังเฉยๆ  แล้วเชื่อเฉยๆ  แต่ไม่นำไปปฏิบัติกับตัวเรา คือไม่ละเว้นจากการกระทำความชั่ว ไม่ละเว้นจากอบายมุขทั้งหลาย ไม่ละเว้นจากการประพฤติผิดศีลธรรม ไม่กระทำในสิ่งที่ดีที่งาม  มีความขยันหมั่นเพียร กระทำแต่สิ่งที่มีคุณมีประโยชน์  เราก็จะไม่รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเท็จจริงอย่างไร  

แต่ถ้าเรานำสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว เราจะเห็นจะรู้  ธรรมระดับต่างๆจนกระทั่งถึงธรรมขั้นสูงสุด ไม่ช้าก็เร็ว  ตามลำดับแห่งการปฏิบัติของเรา เราจะเห็นว่ากรรมมีจริง  บุญมีจริง บาปมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ตายแล้วต้องไปเกิดอีก ไม่ใช่ตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญนี่เป็นความเห็นของคนมืดบอด ของคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นคนที่เชื่อแบบลอยๆ  เหมือนคนสมัยโบราณที่เชื่อว่าโลกนี้แบน โดยที่ไม่ได้มีการพิสูจน์เลย  เพราะเพียงแต่มองด้วยสายตาที่ตัวเองสามารถมองเห็นได้  มองไปทางไหนก็เห็นว่าแบนราบ แต่ไม่รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน ต้องมีคนฉลาดมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ความจริงแล้วโลกนี้ไม่แบน แต่เป็นโลกกลม

ฉันใดสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสั่งสอนพวกเรา เป็นสิ่งที่เป็นจริงทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพวกเรายังเป็นผู้ที่ด้อยปัญญา ยังมีความมืดบอด คือมีอวิชชาโมหะครอบงำจิตใจของเราอยู่  จึงทำให้เราไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นได้  เราจึงต้องเชื่อในพระพุทธเจ้า เชื่อในพระธรรมคำสอน เชื่อในพระอริยสงฆ์สาวก แล้วนำสิ่งต่างๆที่ท่านทรงสั่งสอนมาปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริง  ด้วยการทำความดี  ละความชั่ว  และชำระกิเลส  คือ โลภ โกรธ หลงให้ออกไปจากจิตจากใจ ด้วยการปฏิบัติธรรมแล้ว  จิตใจของเราจะค่อยๆสว่างขึ้น   จะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นไปตามลำดับของการปฏิบัติ  จนในที่สุดก็จะมีดวงตาเห็นธรรมสว่างเต็มที่  เหมือนกับดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะมาขวางกั้นได้ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของเหตุและผล  ถ้าเราดำเนินเหตุให้ครบบริบูรณ์แล้ว  ผลต่างๆที่ดีที่งามก็จะปรากฏตามขึ้นมาอย่างแน่นอน

อย่างพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายนั้น ในเบื้องต้นท่านก็เป็นเหมือนกับพวกเรา ท่านก็ไม่ได้เป็นพระอริยสงฆ์สาวกมาก่อน ท่านก็เป็นปุถุชนธรรมดา แต่ท่านได้พบกับพระพุทธเจ้า และได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ จนไม่ช้าก็เร็วท่านก็บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ สิ่งเหล่านี้ไม่อยู่เหนือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดา  อย่างเราอย่างท่านทั้งหลาย  เพราะพระอริยสงฆ์สาวกในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ท่านเป็นเครื่องพิสูจน์ให้กับเรา ท่านเป็นผู้รับรองให้เราเห็นแล้วว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นคำสอนที่โมฆะ คือไร้เหตุไร้ผล แต่เป็นคำสอนที่เต็มเปี่ยมด้วยเหตุและผล เป็นคำสอนที่เป็นความจริง เพียงแต่ว่าผู้ที่จะนำไปปฏิบัติ จะสามารถปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ถ้าเรามีความวิริยะอุตสาหะ  มีความตั้งใจ  มีสัจจะความจริงใจ นำไปประพฤติปฏิบัติด้วยขันติความอดทน ไม่ท้อแท้ ไม่กลัวความทุกข์  ไม่กลัวความยากลำบาก  ที่จะเกิดจากการปฏิบัติแล้วละก็  รับรองได้เลยว่า ไม่ช้าก็เร็วสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็นนั้น  เราก็จะรู้ได้  สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าได้บรรลุถึง  เราก็จะบรรลุได้  พระพุทธเจ้าท่านสิ้นทุกข์เราก็จะสิ้นทุกข์ได้  พระพุทธเจ้าไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  เราก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ได้เช่นกัน  เพราะว่าสิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมาไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า หรือกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด  แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้นเอง  ว่าเราจะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้หรือเปล่า  ถ้าเราปฏิบัติแล้วไม่มีอะไรในโลกนี้จะมากีดกั้น กีดขวางสิ่งต่างๆที่เราปรารถนาได้  แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราเพียงแต่ฟัง อย่างเช่นวันนี้เราฟังแล้ว พอเรากลับบ้านไป เราก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พูดมาในวันนี้ เราก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ ไม่ได้เอามาคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรกับตัวของเรา  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของเราก็ยังจะเป็นเหมือนเดิมอยู่  เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเรา  ก็ยังดำเนินแบบเดิมๆอยู่ เมื่อเหตุเป็นแบบเดิมๆ  ผลย่อมเป็นแบบเดิมๆอยู่เช่นกัน แต่ถ้าเราเปลี่ยนเหตุให้เป็นเหตุที่ดีขึ้น แล้วผลที่จะตามมาก็จะต้องดีตามขึ้นมาอย่างแน่นอน เรื่องเหล่านี้หลีกเลียงไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราคนเดียวเท่านั้น

ในโอกาสที่เป็นวันพระแรกของปี ก็ขอให้เราจงพิจารณาแล้วถามตัวเราเองว่า เรามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน ในการที่จะละการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม    และกระทำในสิ่งที่ดีงาม   ก็ขอให้เราลองตั้ง สัจจอธิษฐานว่า เราจะกระทำสิ่งนั้นๆไป เพราะว่าถ้าเราได้ตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้ว เราจะมีเครื่องบังคับให้เราต้องกระทำสิ่งนั้นๆ  ถ้าเราไม่ตั้งสัจจอธิษฐานแล้ว เราจะไม่มีอะไรมาผูกมัดเรา  จะทำก็ได้  ไม่ทำก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลที่เราปรารถนาก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา แต่ถ้าเราได้ผูกมัดตัวเราเองแล้ว เราก็จะต้องบังคับตัวเราให้กระทำในสิ่งนั้นๆ  เพื่อที่เราจะได้รับผลที่ดีที่งามต่อไป ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเองว่า เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา ถ้าเรามีสัจจอธิษฐาน มีขันติ มีวิริยะ มีศรัทธาแล้ว ชีวิตของเราย่อมดำเนินไปสู่ที่ดีที่งามได้ แต่ถ้าเราขาดคุณธรรมเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ทราบว่าเราจะหาสิ่งที่ดีงามมาจากที่ไหน เพราะคุณธรรมเหล่านี้ เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญนั่นเอง การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้