คำนำ
การเข้าถึงธรรมหรือสัจจธรรมของชีวิต
อาจทำได้ง่าย
ถ้าเราหมั่นฝึกฝนการฟังการคิดและการปฏิบัติ
ให้อยู่ในหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
จากการที่ได้ยินได้อ่านเรื่องราวของธรรมะอยู่บ่อยๆ
และใช้การพิจารณาไตร่ตรองในทุกๆเรื่อง
ให้เข้ากับของจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา
เมื่อฟังคิดอ่านแล้ว
ก็ต้องลงมือทำนั่นเอง
จริงๆแล้ว
เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ
เป็นเรื่องราวที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว
และทุกคนก็ได้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ต่างๆเหมือนกัน
ซ้ำซาก
วนเวียน
เรื่องเก่าเล่าใหม่
เกิดขึ้น
ตั้งอยู่
ดับไป
ชีวิตขึ้นลง
บทบาทปรับเปลี่ยน
แต่ทำไมทุกข์ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในวังวนของโลกเรานี้
หรือเป็นเพราะธรรมะยังห่างไกล
จากจิตใจเราอย่างนั้นหรือ
ธรรมชาติก็อยู่ใกล้รอบๆตัวเรา
สัมผัสได้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
แต่ทำไมใจจึงดูเหมือนเข้าซึ้งถึงธรรมะได้ยากเหลือเกิน
ทั้งๆที่ถ้าเข้าใจมันแล้ว
มันก็เป็นทั้งหมดของชีวิตจิตใจเราด้วยซ้ำ
ใจที่พูดนี้คงเป็นใจที่ขาด
“กำลัง” เป็นใจที่หลงผิด
ติดอยู่ในโลกสมมุติ
และไม่พยายามที่จะหาที่พึ่ง
ที่จะดึงใจให้ออกจากความยึดมั่นที่ผิดๆนี้ได้
ถ้าคิดถูก
เข้าใจถูก
ปฏิบัติถูก
เราก็จะรู้ว่าที่แท้จริง
ใจมีที่พึ่งที่ดีที่สุด
คือ พระพุทธ
พระธรรม
พระสงฆ์
ที่บังเกิดขึ้นในใจของผู้ปฏิบัตินั่นเอง
เป็นที่พึ่ง
เป็นหลักชัยของผู้ที่ชนะใจตนเอง
เป็นกำลังเสริมให้ใจมีเรี่ยวมีแรง
จะต่อสู้กับอวิชชา
ตัณหา
ความมืดบอดได้
เพราะจิตที่มีกำลังเข้าถึงพุทธคุณ
ย่อมก่อเกิดแสงสว่างและปัญญา
จิตที่ลิ้มรสพระธรรมช่วยเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของสมาธิ
และจิตที่ระลึกถึง
เคารพ บูชา
พระอริยสงฆ์และอริยบุคคล
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เป็นแบบอย่างผู้ทรงศีลอย่างเคร่งครัด
ช่วยให้จิตเกิดศรัทธาและยึดมั่นในศีลได้อย่างถาวร
พระรัตนตรัยของชาวพุทธ
จึงเป็นกำลังสำคัญ
ที่ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของใจ
และใจจึงได้รับประโยชน์ที่แท้จริงของการดำรงชีวิต
ที่กายและใจมิใช่สิ่งเดียวกัน
แต่อยู่กันได้อย่างสันติสุข
เมื่อใจเข้าซึ้งถึงธรรมะ
ใจก็ปราศจากทุกข์
กายก็พลอยได้รับความสบายไปด้วย
ชีวิตที่มีธรรมะหล่อหลอมจิต
จึงเป็นชีวิตที่ธรรมดา
เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ไม่ยุ่งยาก
ไม่วุ่นวาย
ไม่เรียกร้อง
เรียบง่าย
รักสงบเมื่อนั้นเราจะเข้าถึงความเป็นธรรมดา
ที่ความไม่มีอะไรเลยเป็นบรมสุข
คณะผู้จัดทำ
กรกฎาคม ๒๕๔๗