สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช

สกลมหาสังฆปริณายก

สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙

แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

พระชาติภูมิ

   สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฒนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก  มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร  เป็นบุตรคนที่ ๑ ในจำนวน บุตร ๓ คน ของนายน้อย และนางกิมน้อย คชวัตร  ประสูติ ณ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี   เมื่อวันศุกร์เดือน ๑๑ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พ.. ๒๔๕๖ โยมบิดารับราชการเป็นปลัดอำเภอ  แต่ได้ป่วยถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ ๓๘ ปี ในขณะที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีพระมายุเพียง ๙ พรรษา โยมป้าชื่อเฮง จึงได้รับตัวไปเลี้ยงดูเสมือนบุตรสืบมาโดยทรงเข้าศึกษาชั้นต้น ณ โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี  จนจบชั้นประถมปีที่ ๕ (เทียบเท่าชั้นมัธยม ๒ ในปัจจุบัน)

 

การบรรพชาอุปสมบท

   ปี พ.. ๒๔๖๙ ขณะพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ทรงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) โดยมีพระครูอดุลยสมณกิจ (พุทธโชติ ดี เอกฉันท์) เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์  (ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่พระเทพมงคลรังษี)  ครั้นออกพรรษาแล้วก็ยังไม่ทรงลาสิกขา  พระอุปัชฌาย์จึงได้แนะนำให้ไปเรียนบาลีที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม เพื่อหวังจะให้กลับมาสอนบาลีที่วัดเทวสังฆารามต่อไปในภายหน้า

 

   ปี พ.. ๒๔๗๒  หลังจากทรงศึกษาอยู่ที่วัดเสน่หาได้ ๒ พรรษา พระครูอดุลยสมณกิจ  ได้พาตัวมาถวายต่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์  แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เพื่อให้อยู่ศึกษา ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้าได้ทรงประทานนามฉายาให้ว่า "สุวฑฒโน" มาแต่ครั้งนั้น

 

   ปี พ.. ๒๔๗๖พระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา ได้ทรงกลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระครูอดุลยสมณกิจ (พุทธโชติ ดีเอกฉันท์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจารย์ (สุวณณโชติ เหรียญรัสสุวรรณ) วัดศรีอุบลาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัด หรุงเชี่ยวฉี วัดทุ่งสมอเป็นพระอนุสาวนาจารย์  หลังจากทรงอุปสมบทแล้วก็ทรงอยู่ช่วยสอนพระปริยัติธรรม ณ วัดเทวสังฆารามตลอดพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วจึงได้กลับมายังวัดบวรนิเวศวิหาร  ทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๕กุมภาพันธ์ พ.. ๒๔๗๖ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (สุจิตโต ม...ชื่น นพวงศ์) ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ พระรัตนธัชชมุนี (อิสสรญาโน จู ทีปรักษพันธุ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์  แม้มาทำการอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตแล้วก็มิได้ทรงทอดทิ้งสำนักเดิม โดยยังคงวนเวียนกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่อีก ๒-๓ ปี

 

การศึกษา

   ..๒๔๗๒ สอบได้นักธรรมชั้นตรี

   .. ๒๔๗๓ สอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญ ๓ ประโยค

   .. ๒๔๗๕ สอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญ ๔ ประโยค

   .. ๒๔๗๖ สอบได้เปรียญ ๕ ประโยค

   .. ๒๔๗๗ สอบได้เปรียญ ๖ ประโยค

   .. ๒๔๗๘ สอบได้เปรียญ ๗ ประโยค

   .. ๒๔๘๑ สอบได้เปรียญ ๘ ประโยค

   .. ๒๔๘๔ สอบได้เปรียญ ๙ ประโยค

 

สมณศักดิ์

   .. ๒๔๙๐ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระโศภนคณาภรณ์

   .. ๒๔๙๔ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม

   .. ๒๔๙๘ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม

   .. ๒๔๙๙ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวราภรณ์

   .. ๒๕๐๔ เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ

   .. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ

        ที่สมเด็จพระญาณสังวร

   .. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน มีพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระญาณสังวร บรมนรศรธรรมนีติภิบาล อริยาวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช" เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติวิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ

 

   อนึ่ง ราชทินนามทั้งเมื่อครั้งทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะก็ดีหรือครั้งที่ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ดี นับว่าทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นการพิเศษอย่างยิ่ง  กล่าวคือราชทินนาม "สมเด็จพระญาณสังวร" นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้พระราชทานสถาปนา สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม ซึ่งเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของพระองค์ในราชทินนามดังกล่าวเป็นองค์แรก  และต่อมา สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ก็ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระองค์แรกที่ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ทรงเป็นที่เลื่องลือมากในทางวิปัสสนาคุณ  กล่าวกันว่าทรงสามารถแผ่เมตตาจนทำให้ไก่ป่าเชื่องเป็นไก่บ้านได้ จึงได้เรียกขานกันทั่วไปว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน"  และหลังจากการสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ในครั้งนั้นแล้วราชทินนามนี้ก็มิได้พระราชทานแด่พระมหาเถระรูปใดอีกแลยเป็นเวลานานถึง ๑๕๒ ปี นับตั้งแต่ พ.. ๒๓๖๓ มาจนถึง พ.. ๒๕๑๕ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้ชื่อว่าเป็นสมเด็จพระญาณสังวรองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 

   ยิ่งกว่านั้นครั้งทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดให้ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชในราชทินนามเดิมคือ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช" ซึ่งปกติตามโบราณราชประเพณีที่มีมา หากว่ามีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชที่มีชาติกำเนิดมาจากสามัญชนก็ย่อมจะได้รับการถวายพระนามดุจกันว่า "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช" เว้นไว้แต่สมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชาติกำเนิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดสถาปนาเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" หรือ "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" ดังนี้เป็นต้น

 

หน้าที่การงานทางคณะสงฆ์และสังคม

   เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงได้รับภาระและดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในคณะสงฆ์ทั้งทางด้านการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และอื่นๆ อีกมากมายพอสรุปได้ดังนี้

   .. ๒๔๘๔ เป็นสมาชิกสังฆสภา

   .. ๒๔๘๘ เป็นกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

   .. ๒๔๘๙ เป็นเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์

   .. ๒๔๙๙ เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่ทรงผนวช

   .. ๒๕๐๓ เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง

   .. ๒๕๐๔ เป็นเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร  เป็นผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย

   .. ๒๕๐๖ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม

   .. ๒๕๐๙ เป็นประธานอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ

   .. ๒๕๑๗ เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุต

   .. ๒๕๑๙ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิสังฆประชานุเคราะห์

   .. ๒๕๒๑ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารในการทรงผนวชและเป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรมวินัยในระหว่างที่ทรงผนวชและประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

   .. ๒๕๓๐ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิแผ่นดินธรรม ฯลฯ

  

   สำหรับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งยังทรงปฏิบัติหลังจากที่ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วมีดังนี้

-         เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม

-         เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต

-         เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร

-         เป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลับ

-         เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์

-         เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพระสังฆาธิการคณะธรรมยุต

    ฯลฯ

 

 

 

สมเด็จพระสังฆราช

แห่งราชอาณาจักรไทย

สมัยรัตนโกสินทร์

 

สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งอิสริยยศสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแด่พระมหาเถระของคณะสงฆ์ไทย เพื่อสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายกปกครองบัญชาการคณะสงฆ์ให้สงบสุข สง่างาม ยังความไพบูลย์แก่สังฆมณฑล รวมทั้งประชาชนในราชอาณาจักรและหมู่มหาชนชาวโลก

 

สมเด็จพระสังฆราชจึงเป็นตำแหน่งสูงสุดของการคณะสงฆ์ที่จะเกื้อกูลต่อพระสงฆ์ในเมทินีดลจักนำพหุชนจรรโลงให้พลโลกเข้าถึงพระพุทธรัตนานุภาพ พระธรรมรัตนานุภาพ และพระสังฆรัตนานุภาพ ประพฤติธรรมเพื่อพ้นจากกิเลสมาร ตัดวัฏสงสารสู่โลกสุขเกษมถึงหลักชัยที่สุดแห่งธรรมตามรอยบาทแห่งพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทานไว้นานนับสองพันห้าร้อยสี่สิบปีล่วงมาแล้ว

 

แผ่นดินรัตนโกสินทร์นับแต่พุทธศักราช ๒๓๑๐ ประวัติศาสตร์ขานว่าพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกดับ บ้านเมืองย่อยยับเพราะการสงคราม  พระเจ้าตากสินมหาราชกู้ชาติกลับคืนมาได้ สร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานี  ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา  ทรงตั้งพระสงฆ์ผู้ดำรงธรรมและวินัยให้เป็นพระราชาคณะ ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงรวบรวมพระไตรปิฎกจากหัวเมืองมาคัดเลือก จัดทำเป็นพระไตรปิฎกฉบับหลวง  แต่ยังไม่ทันเรียบร้อยบริบูรณ์ ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน

 

          พุทธศักราช ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสร้างกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่  แม้ศึกสงครามยังไม่สิ้น  พระองค์ก็ดำรงมั่นในพระพุทธศาสนาหวังให้รุ่งเรืองดังเดิม  จึงทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามขึ้นหลายวัด ยกย่องพระสงฆ์ทรงธรรมวินัย โดยโปรดสถาปนาให้มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ปกครองสืบมา  โปรดให้รวบรวมตรวจชำระพระไตรปิฎก ทำให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกให้สมบูรณ์เป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

 

พระฐานะแห่งสมเด็จพระสังฆราช

          ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช ๒๕๐๕ ได้มีบทบัญญัติกล่าวถึงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชคือ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช โดยทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม โดยทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม บัญชาการงานของคณะสงฆ์ดังกล่าว สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นพระชนม์พ้นจากความเป็นพระภิกษุ ลาออกหรือทรงพระกรุณาโปรดให้ออก

 

          สมเด็จพระสังฆราชมีพระนามอยู่ ๒ แบบอย่างคือ ถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ และโปรดพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช จะมีสมณนามว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" และมีพระนามเฉพาะ อาทิเช่นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (วัดบวรนิเวศวิหาร) เป็นต้น

 

          ส่วนสมเด็จพระสังฆราชที่สถาปนาขึ้นจากสามัญชน จะมีพระนามว่า "สมเด็จพระอริยวงศญาณ" ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงพระนามเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" และโปรดพระราชทานให้ใช้ราชาศัพท์กับสมเด็จพระสังฆราช ที่สถาปนาขึ้นนี้ให้เทียบเท่าพระองค์เจ้า

 

ราชอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์

          เริ่มจากการสร้างสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีจนปัจจุบันสังฆมณฑลไทยมีพระมหาเถระผู้ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระสังฆราชเจ้ารวม ๑๙พระองค์ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๕พระองค์ และสมเด็จพระสังฆราช ๑๔ พระองค์ดังนี้

 

๑.       สมเด็จพระอริยวงศญาณ (สี) สถิต ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๒๕ - ๒๓๓๗ ดำรงสมณศักดิ์ ๑๒ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๑ 

 

เดิมพระองค์ทรงเป็นชาวนครศรีธรรมราช บวชอยู่กรุงศรีอยุธยาคราวเสียกรุงฯ แก่พม่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอาราธนามาอยู่ที่วัดระฆังฯ รัชกาลที่ ๑ ย้ายกรุงธนบุรีมากรุงเทพฯ โปรดสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการสังคายนาพระไตรปิฎก

 

๒.     สมเด็จพระอริยวงศญาณ (สุก) สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๓๗ - ๒๓๕๙ ดำรงสมณศักดิ์ ๒๒พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๑ 

 

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงรอบรู้แตกฉานทางพระพุทธศาสนาทรงจัดระเบียบการสอบพระปริยัติธรรมเพื่อเป็นเปรียญแบบ ๓ ชั้นคือเปรียญตรี เปรียญโท และ เปรียญเอก

 

๓.     สมเด็จพระอริยวงศญาณ (มี) สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๕๙ - ๒๓๖๒ ดำรงสมณศักดิ์ ๔ พรรษา พระชนมายุ ๗๐ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๒

 

สมเด็จพระสังฆราช (มี) ทรงจัดการเรื่องการบริหารสังฆมณฑล ส่งสมณทูตไปลังกาทวีปเป็นครั้งแรก  ทรงรวบรวมโอวาทคำสอนใช้วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์สามเณรเป็นสังฆาณัติของคณะสงฆ์  ทรงพระนิพนธ์ "โอวาทานุสาสนี" ฟื้นฟูพระราชพิธีวิสาขบูชา

 

๔.     สมเด็จพระอริยวงศญาณ (สุก) สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๖๒ - ๒๓๖๕ ดำรงสมณศักดิ์ ๔ พรรษา พระชนมายุ ๙๐ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๒ 

 

สมเด็จพระสังฆราช (สุกญาณสังวร) มีผู้ถวายสมัญญาว่า "สังฆราชไก่เถื่อน"  ปรากฏทรงคุณธรรมทางวิปัสสนาธุระ  เล่าลือว่ามีเมตตาบริหารธรรม พ.. ๒๓๖๓ เกิดอหิวาตกโรคระบาดหนัก  ชาวบ้านชาวเมืองเสียชีวิตสามหมื่นคน  รัชกาลที่ ๒ ทรงสั่งให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศโดยพระองค์ทรงศีลตั้งโรงทาน  สมเด็จพระสังฆราชทรงให้สังคายนาบทสวดมนต์เพื่อใช้ในพระราชพิธีดังกล่าว

 

๕.      สมเด็จพระอริยวงศญาณ (ด่อน) สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๖๕ - ๒๓๘๕ ดำรงสมณศักดิ์ ๒๐ พรรษา พระชนมายุ ๘๑ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๒ -

 

สมเด็จพระอริยวงศญาณ  (ด่อน) ปฏิบัติศาสนกิจในสมัยรัชกาลที่ ๓ ด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวดจึงทรงเป็นประธานศาสนกิจสร้างพระไตรปิฎกจำนวนมาก  ตรวจชำระอักขระบาลี การสร้างวัดสำคัญและส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม

 

๖.      สมเด็จพระอริยวงศญาณ (นาค) สถิต ณ วัดราชบูรณะราชวรวิหาร ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๘๖ - ๒๓๙๒ ดำรงสมณศักดิ์ ๖ พรรษา พระชนมายุ ๘๖ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๓

 

สมเด็จพระสังฆราช (นาค) ทรงรื้อฟื้นส่งสมณทูตไปยังลังกา และสมณทูตจากลังกาเดินทางมายังประเทศไทย  สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศจึงรุ่งเรืองขึ้นมากพร้อมทั้งยืมพระไตรปิฎกฉบับใหม่ของลังกาทวีปเข้ามาแปลไว้ ๓๐ คัมภีร์

 

 

๗.       สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) ทรงอิสสริยยศ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๙๔ - ๒๓๙๖ ดำรงสมณศักดิ์ ๒ พรรษา  พระชนมายุ ๖๔ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๔

 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส  นับเป็นพระสังฆราชเจ้าพระองค์แรกที่เป็นพระราชวงศ์ พระนามเดิม "พระองค์เจ้าวาสุกรี"  พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๑ ทรงรอบรู้แตกฉานทั้งภาษามคธ บาลี และวรรณกรรม  ทรงเป็นกวีเอกของโลก มีพระนิพนธ์ที่เป็นหลักฐาน ๑๕ เรื่อง

 

๘.       สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปัญญาอคคโต) ทรงอิสสริยยศ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๓๙๖ ดำรงสมณศักดิ์ ๑๐ เดือนเศษ พระชนมายุ ๘๓ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๕

 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  พระนามเดิม "พระองค์เจ้าฤกษ์"  เป็นพระโอรสองค์ที่ ๑๘ ในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  พระองค์ทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลี เป็นองค์ประธานชำระและแปลพระไตรปิฎก พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก  ทรงกำหนดพระราชบัญญัติและประกาศคณะสงฆ์ต่างๆ

 

๙.       สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสสเทโว) สถิต ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๔๓๖ - ๒๔๔๒ ดำรงสมณศักดิ์ ๖ พรรษา  พระชนมายุ ๘๗ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๕

 

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสสเทโว ป..) ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมเข้าสอบแปลปากเปล่าได้คราวเดียว ๙ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร อายุ ๑๘ ปี เป็นเปรียญเอกตามเสด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร และลาสิกขาไปเป็นฆราวาส ๖ ปี  รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทใหม่และเข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวงอีกครั้งปรากฎว่าสอบได้ ๙ ประโยคอีก  ทรงเชี่ยวชาญทางคัมภีร์พระสูตรมาก  งานที่ทรงนิพนธ์มี ๓๙ บท  ทรงนิพนธ์พระสูตรคาถาต่างๆ ไว้มากที่สุด

 

๑๐.         สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอิสสริยยศ วัดบวรนิเวศวิหาร  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๔๔๓ - ๒๔๖๔ดำรงสมณศักดิ์ ๒๒ พรรษา พระชนมายุ ๖๒ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๖

 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส  พระนามเดิม "พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ" เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔  พระองค์ทรงวางรากฐานของการศึกษาสงฆ์ในยุคสมัยใหม่ และทรงทำงานเกี่ยวกับการศึกษาพระปริยัติธรรมมากที่สุดพระองค์หนึ่ง  ทรงจัดให้มีการสอบความรู้นักธรรมและระบบสอบพระปริยัติธรรมแผนกบาลี มีการจัดระบบแบ่งส่วนการปกครองในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองพระสงฆ์ ร.. ๑๒๑ ทรงริเริ่มก่อตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัย

 

๑๑.         สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์)

ทรงอิสสริยยศ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๔๖๔ ๒๔๘๐ ดำรงสมณศักดิ์ ๑๖ พรรษา  พระชนมายุ ๗๙ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๖ -

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์  พระนามเดิม "หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท" ทรงวางระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้รัดกุมที่เรียกว่า  สังฆราชาณัติ  ทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระบาลีพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ  ทรงให้คำแปลเรื่องเกี่ยวกับทรงธรรมเช่น สามเณรานุสิกขา อภิธานนัปปทีปิกา

 

๑๒.         สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสสเทโว) สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวราราม ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๗ ดำรงสมณศักดิ์ ๖ พรรษา พระชนมายุ ๘๙ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๘

 

สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ทรงเป็นผู้ประสานนโยบายพุทธจักรและอาณาจักรให้อนุรูปกันในระบอบใหม่ มีพระบัญชาให้เปิดประชุมสมัยสามัญแห่งสังฆสภาและเสด็จเปิดปฐมฤกษ์เมื่อวันวิสาขบูชา ๒๔๘๕ ทรงวางระเบียบพระภิกษุสามเณรไปต่างประเทศ  ทรงเป็นประธานแปลพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย  ทรงมีความนิยมทางศิลปะจัดระเบียบของสงฆ์  โปรดจัดโต๊ะหมู่บูชาเป็นแบบแผน

 

๑๓.         สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (...ชื่น นพวงศ์ สุจิตโต) ทรงอิสสริยศ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๔๘๘ - ๒๕๐๑ ดำรงสมณศักดิ์ ๑๔ พรรษา พระชนมายุ ๘๖ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๘ -

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  พระนามเดิม "...ชื่น นพวงศ์" ทรงมีพระปรีชายอดเยี่ยม  ทรงประกอบศาสนกิจสำคัญตั้งแต่ประกอบพิธีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ  อันเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย  ทรงมีพระบัญชาให้จัดตั้งสภาการศึกษามหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย  เปิดการสอบพระนักศึกษาเป็นรุ่นแรกเมื่อ  .. ๒๔๙๙ ทรงเป็นพระอุปัชยาจารย์ในการเสด็จออกทรงผนวชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

๑๔..         สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตติโสภโณ) สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๕ ดำรงสมณศักดิ์ ๒ พรรษา  พระชนมายุ ๗๓ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๙

 

สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตติโสภโณ ป..) ทรงสนพระทัยการศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน  สอบไล่เปรียญธรรม ๙ ประโยคได้หน้าพระที่นั่ง รัชกาลที่ ๕) ตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณรจึงได้รับพระราชทานอุปสมบทในพระบรมราชานุเคราะห์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  เป็นสามเณรรูปแรกที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นธรรมเนียมสืบมา  ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเถระที่แสดงธรรมมีโวหารไพเราะทันสมัย  ทรงรับงานพระปริยัติมาโดยตลอด  ได้แสดงพระปรีชาสามารถรอบรู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมให้ปรากฏ

 

๑๕.         สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย) สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๐๖ - ๒๕๐๘ ดำรงสมณศักดิ์ ๒ พรรษา พระชนมายุ ๙๑ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๙

 

สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย ป..) ทรงความสันโดษมักน้อย และมีความเป็นกันเองไม่ถือพระองค์  เมื่อทรงเข้าแปลบาลีสนามหลวงเป็นเปรียญ ๙ ประโยค  รัชกาลที่ ๕ ทรงเลื่อมใสศรัทธารับสั่งให้นำรถยนต์หลวงมาส่งถึงวัดสระเกศ  และปฏิบัติเป็นธรรมเนียมสืบมา  ทรงพหูสูต ทรงเชี่ยวชาญแตกฉานอักษรสมัยทั้งสกสมัยและไพรัชพากษ์เป็นอย่างดี

 

๑๖.         สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฐายี) สถิต ณ

วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๔ ดำรงสมณศักดิ์ ๗ พรรษา  พระชนมายุ ๗๔ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๙

 

สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี ป..) ทรงศึกษาพระปริยัติธรรม ทรงนิพนธ์ "รตนตตยปปภาวสิทธิคาถา" สำหรับใช้สวดในพระราชพิธี  ทรงเคยเป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่สังฆนายก ๒ สมัย  ทรงส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนากับกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาของพระภิกษุสามเณรเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ  ทรงออกคำสั่งมหาเถรสมาคมเรื่องการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ๒๕๑๒ มีผลให้สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ

 

๑๗.    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริ) สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๑๕ - ๒๕๑๗ ดำรงสมณศักดิ์ ๑ พรรษาเศษ พระชนมายุ ๗๗ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๙

 

สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) พระนามทั่วไปเรียกว่า "สมเด็จป๋า) เพราะมีพระทัยเมตตากรุณาแก่ทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะดุจพ่อมีเมตตาต่อบุตร ห่วงใย เอื้ออาทรรักใคร่เสมอหน้า  เมื่อเยาว์วัยเข้ามาศึกษาที่กรุงเทพฯ กับพระป่วนวัดมหาธาตุ และย้ายมาศึกษากับพระมงคลเทพมุนี (สด จนทสโร) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา  ที่วัดพระเชตุพนฯ  สมเด็จป๋าทรงรับงานบริหารการคณะสงฆ์หลายประการ  ทรงเป็นพระธรรมทูต  ทรงสนพระทัยในการประพันธ์ มีนามปากกาว่า ". ปุณณสิริ"  ทรงนิพนธ์บทความไว้มากและมีชื่อเสียงแพร่หลายมาก

   

๑๘.    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสน์ วาสโน) สถิต ณ วัดราช

บพิตรสถิตมหาสีมาราม  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๑๗ - ๒๕๓๑ ดำรงสมณศักดิ์ ๑๔ พรรษาเศษ พระชนมายุ ๙๑ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๙

       

สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) ทรงเป็นผู้เจริญยิ่งด้วยพรรษายุกาล รัตตัญญู ผู้ทรงจริยางดงาม สุขุมธรรมวิธาน น่าเคารพ  ทรงเป็นพระราชอุปัชฌาย์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมารเมื่อคราวทรงผนวช  ทรงเร่งรัดการก่อสร้างพุทธมณฑล และทรงนิพนธ์รจนาคำสอนไว้อย่างไพเราะ

 

๑๙. สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฒโน) สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร  ดำรงสมณศักดิ์ พ.. ๒๕๓๒ - ปัจจุบัน สถาปนา ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒ พระชนม์ปีที่ ๔๔ รัชกาลที่ ๙

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฒโน ป..) พระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏของสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า

"สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล

อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก

ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ

สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุตปาวจนุตตมพิสาร

สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ

พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ

วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร

สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดีคามวาสี อรัณยาวาสี

สมเด็จพระสังฆราช"